โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020
ที่ตั้ง : อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา
ตำบล : ประตูชัย
อำเภอ : พระนครศรีอยุธยา
จังหวัด : พระนครศรีอยุธยา
พิกัด DD : 14.341771 N, 100.555409 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ป่าสัก, เจ้าพระยา, ลพบุรี, น้อย
เขตลุ่มน้ำรอง : คลองเมือง
วัดเจ้าปราบ เป็นโบราณสถานที่อยู่ภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยอยู่ทางตอนใต้ของเกาะเมือง ในเขตสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ อยู่ทางด้านทิศเหนือของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยห่างประมาณ 500 เมตร
วัดเจ้าปราบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ในส่วนพื้นที่ที่สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม
ในส่วนของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เปิดให้เข้าชมในลักษณะของอุทยานประวัติศาสตร์ เปิด 06.00 - 18.00 น. โดยเก็บค่าเข้าชมสำหรับคนไทย เป็นเงิน 20 บาท ชาวต่างชาติเป็นเงิน 100 บาท ยกเว้นค่าเข้าชมสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาย 60 ปีขึ้นไป, นักเรียน-นักศึกษา ในเครื่องแบบ, พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และนักบวช เป็นต้น สามารถโทรศัพท์ติดต่อล่วงหน้าได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา เบอร์โทรศัพท์ 035-245123-4
กรมศิลปากร
ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร
วัดเจ้าปราบ เป็นโบราณสถานที่อยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ภายในเกาะเมืองอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 93 ตอนที่ 102 ลงวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2519 พื้นที่ 1,810 ไร่ และในปี พ.ศ. 2540 กรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยาเพิ่มเติม ซึ่งครอบคลุมเกาะเมืองอยุธยาและพื้นที่รอบนอกเกาะเมืองทุกด้านที่ปรากฏหลักฐานด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พื้นที่โบราณสถานประมาณ 3,000 ไร่
นอกจากนี้ โบราณสถานวัดเจ้าปราบ ยังปรากฏรายละเอียดของการขึ้นทะเบียนในการกำหนดจำนวนโบราณสถานระดับชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60 ตอนที่ 39 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2486 หน้า 2350
ขึ้นทะเบียนของ UNESCO
วัดเจ้าปราบ เป็นโบราณสถานภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย เป็นมรดกโลกตามบัญชีลำดับที่ 576
วัดเจ้าปราบ เป็นวัดโบราณที่สำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นวัดร้าง อยู่ทางด้านทิศใต้ในเขตสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ได้รับการขุดแต่งและบูรณะแล้ว
แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำป่าสัก, แม่น้ำลพบุรี, แม่น้ำน้อย
ที่ราบลุ่มภาคกลางเกิดจากการเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนใหญ่ ได้แก่ รอยเลื่อนแม่ปิง(ต่อเลยไปเกือบเชื่อมกับรอยเลื่อนเมย) รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ (น้ำปาด) และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ในยุคครีเทเชียสตอนปลายถึงยุคเทอร์เชียรี ซึ่งต่อเนื่องจากการเปิดตัวของอ่าวไทยทางใต ้และการเกิดแอ่งเทอร์เชียรีในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกตอนบนและตามด้วยการเกิดรอยเลื่อนในแนวเหนือ-ใต้ การสะสมตัวเกิดขึ้นบนบกแบบเนินตะกอนน้ำพารูปพัด ที่ราบตะกอนน้ำพา ทางน้ำ ทะเลสาบ และแบบกึ่งทางน้ำกับทะเลสาบ
ลักษณะทางธรณีวิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้ ทำให้ลึกลงไปใต้พื้นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นแหล่งกรวดทรายขนาดใหญ่ เม็ดกรวด และทรายมีขนาดใหญ่และมีลักษณะกลมมน น้ำบาดาล สะสมตัวอยู่ระหว่างช่องว่างและเม็ดกรวดและทราย แทรกสลับอยู่กับชั้นดินเหนียว ทำให้มีชั้นน้ำบาดาลหลายชั้น และเป็นชั้นน้ำที่แผ่ขยายออกไปในแนวราบอย่างกว้างขวาง มีคุณสมบัติทางอุทกธรณีวิทยาเฉพาะตัว ซึ่งเป็นลักษณะที่พบอยู่ในชั้นน้ำบาดาลส่วนใหญ่ของที่ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้ กล่าวคือ ชั้นน้ำบาดาลแต่ละชั้น จะมีชั้นดินเหนียวรองรับอยู่ด้านล่าง และปิดทับอยู่ด้านบน จัดเป็นชั้นน้ำบาดาลใต้แรงดัน (Confined aquifer)
ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2486
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
กรมศิลปากร ประกาศกำหนดจำนวนโบราณสถานระดับชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60 ตอนที่ 39 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2486 หน้า 2349 ในขณะนั้น วัดเจ้าปราบเป็นวัดในประกาศด้วย แต่ประกาศแค่ชื่อเท่านั้น ยังไม่ได้กำหนดขอบเขตโบราณสถานแต่อย่างใดชื่อผู้ศึกษา : คงเดช ประพัฒน์ทอง
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2511
ผลการศึกษา :
คงเดช ประพัฒน์ทอง. เผยแพร่บทความเรื่อง “รายงานการขุดค้นขุดแต่งวัดเจ้าปราบ อยุธยา” ตีพิมพ์ใน โบราณคดี. ปีที่ 2, ฉบับที่ 1 (ก.ค.-ก.ย. 2511) : หน้า 32-50.ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2512, พ.ศ.2513
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ขุดแต่ง, ขุดตรวจ, ประวัติศาสตร์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
ศิลปากร ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะวัดเจ้าปราบ โดยทำการเสริมความมั่นคงรอบฐาน บูรณะเจดีย์ประธาน บูรณะเสาอุโบสถ เป็นต้นชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2519
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ชื่อผู้ศึกษา : UNESCO
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2534
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร, UNESCO
ผลการศึกษา :
วัดเจ้าปราบ เป็นโบราณสถานภายในเขตเกาะเมือง พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2534ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2540
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
กรมศิลปากร ประกาศกำหนดเขตที่ดิน อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา เพิ่มเติม โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 6 ง ลงวันที่ 21 มกราคม 2540 หน้า 40 โดยมีพื้นที่โบราณสถานประมาณ 3,000 ไร่วัดเจ้าปราบ (ส่งศรี ประพัฒน์ทอง 2558) เป็นวัดโบราณที่สำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นวัดร้างไม่พบหลักฐานว่าสร้างเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้าง ในตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนตำราหน้าที่ตำรวจได้กล่าวถึงวัดเจ้าปราบว่า “ถ้าเสด็จไปทอดพระเนตรการวัดวาอารามในกรุงนอกกรุง ถ้าในกรุง ดุจหนึ่งไปวัดเจ้าปราบนั้น (ทรง) พระเสลี่ยงไป” คำว่า “เจ้าปราบ” จึงน่าจะเป็นชื่อสำคัญในสมัยนั้น
ในจดหมายเหตุการณ์พระศพสมเด็จพระรูป (สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มเหสีฝ่ายซ้ายของสมเด็จพระเพทราชา ขณะสิ้นพระชนม์ทรงผนวชเป็นชี ในจดหมายเหตุจึงเรียกพระรูป สิ้นพระชนม์เมื่อจุลศักราช ๑๐๙๗ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) กล่าวว่า “ครั้นถึงฉนวนประทับเรือ ณ ท่าปราบ แล้วจึงทรงสั่งให้เชิญสมเด็จพระบรมศพขึ้นจากเรือพระที่นั่ง แล้วแลเรือพระที่นั่งซึ่งล้นเกล้าฯ ทรงมานั้นถอยหลังลงประทับ ณ ขนานประจำท่าพระราชวังหลวง แลขุนทิพภัยชนคุมพระราชยานทองลงไปรับเสด็จฯ จึงเชิญเครื่องสิบแปดอย่างกลางแห่เสด็จไปหน้าจวนทหารใน ไปเข้าประตูท่าปราบตามเสด็จพระบรมศพถึงพระที่นั่งจักรวรรดิ์ภัยชนมหาปราสาท”
อาณาบริเวณของวัดเจ้าปราบค่อนข้างกว้างขวาง มีโบราณสถานสำคัญ คือ พระเจดีย์ พระอุโบสถ และพระมณฑป ติดกับกำแพงวัดด้านตะวันออกเฉียงใต้มีแนวรากฐานของคลังดีบุก
ดีบุกนั้นเป็นส่วยอย่างหนึ่งของบ้านเมืองที่เป็นของหายาก ในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศได้จัดเป็นสินค้าควบคุม ดังในหนังสือสัญญาไทยฝรั่งเศส ครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ความว่า “ประการหนึ่ง ถ้าแลกุมบัญชีต้องการซื้อดีบุก ณ เมืองถลางบางคลี แลงาช้างแลช้างแลดินประสิวขาว ดีบุกดำ หมากกรอก ฝาง ก็ให้ชาวคลังขายให้แต่ตามราคาซื้อขายแก่ลูกค้าทั้งปวง แลอย่าให้กุมบัญชีซื้อขายสินค้ามีชื่อทั้งนี้แก่ลูกค้าซึ่งมิได้ซื้อแก่ชาวคลังนั้นเลย ด้วยสินค้าเป็นส่วยสาอากรของหลวงแลห้ามมิให้ผู้ใดขายนอกจากชาวคลังนั้นเลย” ข้อความที่กล่าวมาข้างต้นพอจะเป็นข้ออนุมานได้ว่า บริเวณวัดเจ้าปราบนั้นตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงกันข้ามกับวัดพุทไธสวรรย์ เป็นพื้นที่สำคัญอยู่ใกล้กับคลังดีบุก และอยู่ใกล้กับถนนเหล็ก หรือถนนตลาดเหล็กโบราณซึ่งเป็นถนนปูด้วยอิฐหนาประมาณ 85 เซนติเมตร ตามประวัติว่ายาวประมาณ 1 กิโลเมตร มีคูน้ำสองข้างตลอดแนวถนน คงเป็นคูที่เกิดจากการขุดดินขึ้นมาถมถนน ผู้สร้างวัดคงเป็นเจ้านายที่มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันบ้านเมือง อาจมีหน้าที่ควบคุมการสร้างอาวุธด้วย จึงมีตำแหน่งเป็นเจ้าปราบ
ทางด้านทิศใต้ของบริเวณวัดมีเจดีย์องค์ใหญ่เป็นเจดีย์ประธานของวัดและรากฐานอุโบสถ มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ผนังด้านในของกำแพงแก้วทำเป็นช่องสามเหลี่ยมคล้ายๆ กับกำแพงแก้วด้านในรอบพระปรางค์ ที่วัดพระมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นช่องที่ใส่ชวาลาในวันงานเทศกาล มีบันไดทางขึ้นฐานประทักษิณด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละ 2 ทาง
เจดีย์ประธาน เป็นเจดีย์องค์ใหญ่อยู่หลังอุโบสถบนฐานประทักษิณเดียวกันกับอุโบสถ ลักษณะเป็นเจดีย์กลมทรงระฆัง ฐานแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นแบบที่นิยมสร้างกันในสมัยอยุธยาตอนต้น องค์เดิมชำรุดเหลือเพียงองค์ระฆัง กรมศิลปากรได้นำชิ้นส่วนที่พังทลายลงมาประกอบกันขึ้นและซ่อมเสริมเป็นองค์เจดีย์สมบูรณ์ที่เห็นกันอยู่ปัจจุบันนี้
อุโบสถ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านหน้า 3 ประตู ด้านหลัง 2 ประตู ภายในมีฐานรากของเสากลมสำหรับรองรับหลังคาอุโบสถ ด้านหลังอุโบสถทำเป็นมุขยื่นออกไป มีฐานรากของเสารองรับหลังคาเหลืออยู่ หลังคาอุโบสถมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย มีกระเบื้องเชิงชายเป็นลายเทพพนม เช่นเดียวกับที่พบตามวัดเก่าๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีฐานสำหรับตั้งใบเสมารอบอุโบสถ 8 ทิศ ใบเสมาหินที่พบในวัดนี้มีลวดลายคล้ายลายใบเสมาหินที่พบในวัดไชยวัฒนาราม
ทางด้านทิศเหนือของวัด มีมณฑปทรงจัตุรมุขตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุมไม้สิบสอง มีทางขึ้นตรงชาลาทั้ง 4 ทิศ มุขทางด้านทิศเหนือและทิศใต้สั้น มุขทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยื่นออกไปรับกับส่วนของฐานประทักษิณ
มีหลักฐานปรากฏว่าได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย นายคงเดช ประพัฒน์ทอง ได้ให้ความคิดเห็นไว้ในรายงานการขุดแต่งวัดเจ้าปราบซึ่งพิมพ์ลงในหนังสือโบราณคดีว่า “แต่เดิมมณฑปจัตุรมุขนี้น่าจะเป็นจัตุรมุขแบบสี่ทิศเท่ากัน ต่อมาได้เกิดความคิดว่า ดูขัดกันกับฐานทักษิณที่ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุมไม้ จึงแก้ไขมุขตะวันออกและมุขตะวันตกให้ยื่นยาวออกไปรับกัน แต่การแก้ไขครั้งนั้นคงทำขึ้นในระยะเวลาที่ไม่ห่างกัน เพราะเหตุว่าแผ่นอิฐที่ใช้มีขนาดเท่ากัน การเพิ่มเติมคงจะรีบเร่งหรือคนละฝีมือช่าง ทำให้การเรียงอิฐไม่เรียบร้อยตรงส่วนรอยต่อเพิ่มออกไป เป็นแนวอิฐที่ชนกันเฉยๆ ทำให้มุขด้านตะวันออกและมุขด้านตะวันตกแนวอิฐแยกจากกันง่าย” มณฑปนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ ปัจจุบันเหลือเพียงฐานรองรับ อาจจะรองรับรอยพระพุทธบาทก็ได้ ถ้าเป็นรอยพระพุทธบาท มณฑปหลังนี้น่าจะเรียกว่า มณฑปพระพุทธบาท
วิหาร ตั้งอยู่ระหว่างอุโบสถกับมณฑป เป็นวิหารขนาดเล็ก เหลือเพียงรากฐานแนวอิฐ และแนวของชุกชี เมื่อกรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งวิหาร พบว่าวิหารมีขนาดกว้าง 7.20 เมตร ยาว 14.80 เมตร มีทางขึ้นทางมุมด้านหน้าทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางมีบันไดขึ้นอีก 1 ทาง
ด้านหลังอุโบสถ มีรากฐานของเจดีย์รายที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว รวม 6 องค์ นับจากทิศใต้เข้ามา เจดีย์รายแต่ละองค์หักพังหมดเป็นการยากที่จะดูรูปแบบเดิมได้ รายละเอียดดังนี้
- องค์ที่ 1 ลักษณะเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
- องค์ที่ 2 เป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมองค์ระฆังหักโค่นมาทางทิศตะวันตก
- องค์ที่ 3 - 4 เป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยม
- องค์ที่ 5 – 6 เหลือเพียงรากฐาน องค์ทางทิศเหนือเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
เสามุมกำแพงวัด ลักษณะเป็นเสาหัวเม็ด มีประตูทางเข้าเป็นประตูซุ้มอยู่ที่กำแพงด้านทิศเหนือ 2 ประตู ด้านทิศตะวันออก 1 ประตู
คลังดีบุก ตั้งอยู่นอกกำแพงวัดด้านตะวันออก เหลือเพียงรากฐานที่ก่อด้วยอิฐ กว้าง 10.50 เมตร ยาว 26.90 เมตร ภายในแบ่งเป็นห้อง 3 ห้อง ห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเกือบเท่ากันแต่ห้องกลางมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น
กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจขุดแต่งและบูรณะโบราณสถาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปีงบประมาณ 2513. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. 2513.
กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2551.
กรมศิลปากร. ทะเบียนโบราณสถานทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. 2516. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา,2516.
กรมศิลปากร. ตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยากับพระวิจารณ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : จงเจริญการพิมพ์, 2539.
กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดาร เล่ม 37 เรื่องกรุงเก่า. พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา,2512.
กรมศิลปากร. ระบบฐานข้อมูลแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมและระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม. (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อ 01 มีนาคม 2558. แหล่งที่มา http://www.gis.finearts.go.th/gisweb/viewer.aspx
คงเดช ประพัฒน์ทอง. “รายงานการขุดค้นขุดแต่งวัดเจ้าปราบ อยุธยา”. โบราณคดี. ปีที่ 2, ฉบับที่ 1 (ก.ค.-ก.ย. 2511) : หน้า 32-50.
คณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2544.
ประยูร อุลุชาฏะ (น. ณ ปากน้ำ). ศิลปกรรมแห่งอาณาจักรศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : ธเนศวรการพิมพ์, 2516.
ประทีป เพ็งตะโก. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สมาพันธ์, 2539.
สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะอยุธยา. ข้อมูลออนไลน์ เข้าถึงเมื่อวันที่ 01 มีนาคม 2558 แหล่งที่มา https://welovemuseum.files.wordpress.com/2011/02/e0b8a8e0b8b4e0b8a5e0b89be0b8b0e0b8ade0b8a2e0b8b8e0b898e0b8a2e0b8b2.pdf
สมัย สุทธิธรรม. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ 1999 จำกัด, 2546.
ส่งศรี ประพัฒน์ทอง. วัดเจ้าปราบ. ข้อมูลออนไลน์ เข้าถึงเมื่อ 01 มีนาคม 2558. แหล่งที่มา http://www.literatureandhistory.go.th/