โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020
ชื่ออื่น : วัดกุฏิราย, วัดกุฎีราย
ที่ตั้ง : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ต.หนองอ้อ อ.ศรีสัชนาลัย
ตำบล : หนองอ้อ
อำเภอ : ศรีสัชนาลัย
จังหวัด : สุโขทัย
พิกัด DD : 17.439193 N, 99.786517 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ยม
วัดกุฏิราย ตั้งอยู่ริมกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยด้านทิศเหนือด้านอก ริมถนนเลียบแม่น้ำยม
การเดินทางมายังอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยนั้น สามารถเดินทางเข้ามาได้หลายวิธี ดังนี้
1. รถโดยสารประจำทาง โดยมีรถประจำทางของบริษัทสุโขทัยวินทัวร์จากกรุงเทพฯ (สถานีขนส่งหมอชิต)ทุกวัน
2. รถไฟ เส้นทางกรุงเทพฯ-อุตรดิตถ์ ลงที่สถานีสวรรคโลก จากนั้นต่อรถโดยสารประจำทาง
3. เครื่องบิน มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ-สุโขทัย วันละ 2 เที่ยว
4. รถส่วนตัว จากตัวเมืองสุโขทัย ใช้ทางหลวงหมายเลข 101 เส้นสุโขทัย-สวรรคโลก-ศรีสัชนาลัย ไปจนถึงระหว่างกิโลเมตรที่ 17 - 19 เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานแม่น้ำยม จะมีทางแยกขวาเข้าอุทยานฯ ไป ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นระยะทาง 68 กิโลเมตร หรือ หรือ จากอำเภอสวรรคโลกไปตามทางหลวงหมายเลข 1201 ไปจนถึงตำบลเมืองเก่า บริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำยมแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าอุทยานฯ อีก 2 กิโลเมตร รวมระยะทาง 22 กิโลเมตร
วัดกุฏิรายเป็นวัดที่สำคัญของเมืองศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่ภายนอกเขตกำแพงเมือง ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของไทยอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมของช่างชั้นสูงในการใช้ศิลาแลงก่อสร้างอาคารทั้งหลัง เลียนแบบเครื่องไม้ได้อย่างวิจิตรงดงาม โดยเฉพาะส่วนหลังคาที่ลดหลั่นเป็นเชิงรับกับเชิงชายที่อ่อนช้อยราวกับทำด้วยกระเบื้องดินเผา
ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2533 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อ พ.ศ.2534 ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ในฐานะเมืองบริวารของสุโขทัย
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและผู้ที่มาเยี่ยมชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่าง ดังนี้
- ศูนย์บริการข้อมูลที่เปิดให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและประวัติศาสตร์ของเมืองศรีสัชนาลัย เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่ประชาชนและผู้ที่สนใจสามารถค้นคว้าข้อมูลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- เจ้าหน้าที่นำชมโบราณสถาน/วิทยากร ที่คอยแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ และพร้อมนำชมโบราณสถานในเขตอุทยานฯทุกวัน
- แผ่นพับประชาสัมพันธ์และป้ายอธิบายโบราณสถานแต่ละแห่ง
- เส้นทางท่องเที่ยวภายในอุทยานฯที่สะดวกสบาย เชื่อมโยงโบราณสถานแต่ละแห่ง
- ป้ายบอกทางไปโบราณสถานเป็นระยะ
- จักรยานและรถรางในพื้นที่ภายในกำแพงเมือง
อัตราค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย 20 บาท และ 40 บาท(สำหรับบัตรรวม) สามารถเข้าชมภายในอุทยานฯ วัดชมชื่น และแหล่งอนุรักษ์เตาเผาสังคโลกหมายเลข 61 และ 42
ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ 100 บาท และ 220 บาท (สำหรับบัตรรวม)
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วย เช่น ค่าเช่าจักรยานคันละ 20 บาท สำหรับชาวไทย, ค่ารถรางคนละ 20 บาท สำหรับชาวไทย และ 40 บาทสำหรับชาวต่างชาติ หรือเหมาคันละ 300 บาท (ไม่เกิน 15 คน) *จักรยานและรถรางเป็นสัมปทานเอกชน อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้*
สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมได้ที่ สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย โทรศัพท์ 055 679211
กรมศิลปากร
ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร
1. กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดเขาพนมเพลิง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 หน้า 3703 โดยในขณะนั้น ประกาศขึ้นทะเบียนเพียงแค่ชื่อเท่านั้น (ชื่อที่ใช้ในประกาศฯ คือ วัดกุฏิราย) ไม่ได้กำหนดขอบเขตของโบราณสถานแต่อย่างใด
2. กรมศิลปากร ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 105 ตอนที่ 57 ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2531 เนื้อที่ 28,217 ไร่ หรือ 45.14 ตารางกิโลเมตร มี โบราณสถาน 283 แห่ง ทั้งในและนอกกำแพงเมือง โดยโบราณสถานวัดกุฏิราย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
ขึ้นทะเบียนของ UNESCO
วันที่ 12 ธันวาคม 2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย เป็นมรดกโลกตามบัญชีลำดับที่ 574
วัดกุฏิรายตั้งอยู่ริมคูเมืองกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยด้านทิศเหนือ ด้านนอกเมือง และตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม โดยแม่น้ำยมอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด หน้าวัดหันไปทางทิศใต้ ขนานไปกับแม่น้ำยม มีซุ้มพระหรือมณฑปขนาดใหญ่อยู่ 2 หลัง ด้านหน้าของซุ้มพระเป็นโบสถ์ที่บริเวณรอบๆ มีซุ้มพระเป็นคันกำแพงแก้ว บนคันบังคับทางทิศตะวันออกก่อเป็นเจดีย์ราย 3 องค์ ตัวซุ้มมีขนาดย่อยกว่าเล็กน้อย ด้านหน้าเป็นวิหาร และด้านตะวันตกมีเจดีย์รายอยู่ประมาณ 9 องค์
พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นที่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลมีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัยยาวประมาณ 170 กิโลเมตร
อำเภอศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจังหวัดสุโขทัย มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
1. ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอวังชิ้นและอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่)
2. ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอลับแลและอำเภอตรอน (จังหวัดอุตรดิตถ์)
3. ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอศรีนคร อำเภอสวรรคโลก และอำเภอทุ่งเสลี่ยม
4. ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเถิน (จังหวัดลำปาง)
เมืองโบราณศรีสัชนาลัย มีสภาพภูมิประเทศที่ตั้งของเมืองเป็นที่ราบเชิงเขาพระศรี และ เขาใหญ่ ทางด้านทิศตะวันตก และมีลำน้ำยมอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
แม่น้ำยม
ลักษณะทางธรณีวิทยาบริเวณอำเภอศรีสัชนาลัย มีสภาพเป็นหินเชล (Shale) สี Olive หรือสี Grey จนถึงสี Dark Grey พบเป็นผืนใหญ่ตั้งแต่พื้นที่ นอกจากนี้ยังพบว่ามีลักษณะ ของหินปูน (Limestone) สีจาง เนื้อละเอียดแทรกอยู่บริเวณตอนกลางของต้นน้ำห้วยแม่สานอีกด้วย
ลักษณะทางปฐพีวิทยานั้น เป็นดินที่เกิดอยู่กับที่ (Residual soil) เกือบทั้งสิ้น เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขาที่มีความลาดชัน จึงจัดหน่วยของดินนี้ไว้เป็นที่ลาดเชิงซ้อน (Slope complex) ดินที่เกิดขึ้นจึงเป็นดินที่เกิดอยู่กับที่ที่มีการพัฒนาดินไปได้ค่อนข้างดี ดินเหล่านี้ มีป่าเบญจพรรณขึ้น ปกคลุมโดยทั่วไป มีความชื้นค่อนข้างสูง
ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2478
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
กรมศิลปากร ประกาศกำหนดจำนวนโบราณสถานระดับชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 หน้า 3703 ในขณะนั้นเพียงแต่ประกาศแค่ชื่อเท่านั้น (ชื่อที่ใช้ในประกาศฯคือ วัดกุฏิราย) แต่ยังไม่ได้กำหนดขอบเขตโบราณสถานแต่อย่างใดชื่อผู้ศึกษา : พิทยา ดำเด่นงาม, ประโชติ สังขนุกิจ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2508, พ.ศ.2509, พ.ศ.2510, พ.ศ.2511, พ.ศ. 2512
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ขุดแต่ง
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
พิทยา ดำเด่นงาม และประโชติ สังขนุกิจ เรียบเรียงรายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณวัตถุสถานเมืองเก่า กำแพงเพชร เมืองศรีสัชชนาลัย พ.ศ.2508-2512. โดย คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดกำแพงเพชร กรมศิลปากร โดยพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2514 สำหรับวัดกุฏิรายที่ดำเนินงานในครั้ง กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะ ภายในวัดแบ่งออกเป็น 2 บริเวณ คือ บริเวณริมถนนปัจจุบัน (ด้านทิศเหนือ) และ ด้านหน้าของซุ้มพระที่พบใบเสมาอยู่รอบๆ แสดงว่าเป็นโบสถ์ บริเวณซุ่มพระเป็นคันกำแพงแก้ว ซึ่งบนคันกำแพงทางทิศตะวันออกก่อเป็นเจดีย์ราย 3 องค์ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2531
วิธีศึกษา : ประกาศขึ้นทะเบียน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
กรมศิลปากร ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 105 ตอนที่ 57 ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2531 เนื้อที่ 28,217 ไร่ หรือ 45.14 ตารางกิโลเมตร มี โบราณสถาน 283 แห่ง ทั้งในและนอกกำแพงเมือง โดยโบราณสถานวัดกุฏิราย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2532
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
กรมศิลปากรบูรณะพื้นวิหารของวัดกุฏิรายชื่อผู้ศึกษา : ทรงยศ วีระทวีมาศ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2533
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาสถาปัตยกรรม, ศึกษาเอกสาร/จารึก
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร
ผลการศึกษา :
ภาควิชาศิลปะสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรดำเนินการสำรวจรูปแบบของมณฑปในเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งมณฑปแบบสุโขทัยได้รับอิทธิพลทางศิลปะและสถาปัตยกรรมจากลักกาและพม่าชื่อผู้ศึกษา : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2549
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร
ผลการศึกษา :
ภาควิชาศิลปะสถาปัตยกรรม. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรเผยแพร่ รายงานแบบสำรวจรังวัดโบราณสถานเมืองศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ในปี พ.ศ. 2549ชื่อผู้ศึกษา : สันติ เล็กสุขุม
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2551
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
ผลการศึกษา :
ศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม จัดทำรูปแบบสันนิษฐานของโบราณสถาน ของพื้นที่มรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร และตีพิมพ์เผยแพร่ชื่อผู้ศึกษา : นารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2553
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร จัดทำหนังสือนำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานทางโบราณคดี ทั้งการสำรวจ การขุดค้นและการขุดแต่งที่ผ่านมาทั้งหมด ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าใจอดีตของแคว้นสุโขทัยได้มากยิ่งขึ้น โดยในหนังสือนำชมจะมีเนื้อหาของประวัติความเป็นมาของเมืองโบราณแต่ละแห่ง รวมทั้งรายละเอียดของโบราณสถานแต่ละแห่งวัดกุฏิราย ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยทางด้านทิศเหนือ ห่างประตูเตาหม้อไปทางทิศเหนือประมาณ 50 เมตร ริมถนนจากเมืองโบราณคดีศรีสัชนาลัยไปศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาเผาสังคโลก หมายเลข 61 หน้าวัดหันไปทางทิศใต้ ไม่ปรากฏหลักฐานด้านเอกสารและจารึกเกี่ยวกับการสร้างวัด
กลุ่มโบราณสถานประกอบด้วยมณฑปประกอบอาคาร 2 หลัง และเจดีย์ราย 5 องค์ มีรายละเอียดดังนี้
1) มณฑปประกอบอาคารหมายเลข 1 อยู่ติดริมถนน ตัวมณฑปรูปสี่เหลี่ยม ก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ทั้งด้านหน้าและด้านหลังยื่นย่อเก็จออกมาเป็นส่วนรับหลังคาชั้นลด ที่มุมห้องทั้ง 4 มุมหยักเป็นมุมฉากออกมาเป็นครีบช่วยเสริมให้มีความแข็งแรกมากขึ้น ผนังมณฑปมีความหนามาก หลังคาใช้ศิลาแลงก่อเหลี่ยมเข้าหากันเป็นทรงจั่วเลียนแบบเครื่องไม้ ลดชั้น 1 ชั้น บริเวณหน้าจั่วมีรอยบากเพื่อเชื่อมกับหลังคาเครื่องไม้ของอาคารที่อยู่ด้านหน้า ด้านหน้ามณฑปมีซุ่มประตูรูปโค้งกลีบบัวเป็นทางเข้าสู่ภายใน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่ง ปัจจุบันไม่ปรากฏองค์พระแล้ว ทางด้านหลังของมณฑปมีแท่นมาลัยหรืออาจเป็นแท่นพระพุทธรูปก่อติดอยู่กับตัวมณฑป ตั้งอยู่บนฐานเสริมซึ่งต่อไปกับฐานของอุโบสถ
ฐานของมณฑปเป็นฐานบัวลูกฟักรับตัวอาคารซึ่งเป็นผนังตรง เนื่องจากการรักษาสัดส่วนความสูงของผนังทำให้ฐานในส่วนที่ยื่นออกมารับหลังคาชั้นลดทั้งด้านหน้าและด้านหลังสูงกว่าฐานที่รับหลังคาปีกนก เชิงหลังคาปีกนกเป็นบัวหงายประดับด้วยลูกแก้วอกไก่ 2 เว้นระยะห่างกัน และเชิงหลังคาชั้นลดด้านหลังเป็นหัวหงายประดับด้วยลูกแก้วอกไก่เพียงแถวเดียว ซุ่มด้านหน้าเป็นซุ้มซ้อนกัน 2 ชั้น ระดับของหัวเสาซุ้มสูงเท่ากัน
อาคารที่อยู่ด้านหน้ามณฑป ก่อด้วยศิลาแลงเป็นฐานบัวคว่ำขนาด 5 ห้อง มีมุขยื่นทางด้านหน้าอีก 1 ห้อง เดิมคงมีหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องเชื่อมต่อกับมณฑป จากการขุดแต่งเมื่อปี พ.ศ. 2508 – 2512 ได้พบชิ้นส่วนใบเสมาหินชนวนโดยรอบ สันนิษฐานว่าอาคารแห่งนี้คงเป็นโบสถ์ของวัดนี้นั่นเอง
เทคนิคการก่อสร้าง เป็นระบบผนังรับน้ำหนัก ก่อด้วยศิลาแลงสอปูน ใช้ระเบียงอิงลิชบอนด์ (English Bond) หลังคาก่อแบบเหลื่อมกันขึ้นไปขนกันตรงกลาง ชั้นบนประมาณ 9 แถว ก่อแบบหันหัวศิลาแลงออก ฝีมือการก่อศิลาแลงและการเตรียมโกลนศิลาแลงสำหรับฐานบัวหรือลูกแก้วค่อนข้างประณีต แต่ก็ยังมีการเสริมศิลาแลงเพื่อแก้ไขสัดส่วนและต้องพอกปูนฉาบหนาหลายชั้น
2) มณฑปประกอบอาคารหมายเลข 2 ตั้งอยู่ด้านขวางของมณฑปประกอบอาคารหมายเลข 1 ผังพื้นเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้ายื่นเป็นเสาซุ้มออกมาก 2 ชั้น ผนังด้านหลังลดระนาบลึกเข้าไปตั้งแท่นสี่เหลี่ยมซึ่งเดิมคงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ห้องภายในด้านหลังองค์พระพุทธรูปฉายปูนเรียบ ผนังด้านข้างเฉียงออกตามลักษณะฐานพระพุทธรูปและโค้งเข้าไปตามรูปพระชงฆ์ของพระพุทธรูป ถึงแม้ว่าจะไม่มีการย่อมุมรับหลังคาปีกนกหรือชั้นลด แต่ก็ยังสามารถแก้ปัญหาการลดชั้นหลังคาได้ทั้งหน้าและหลัง มีการยกของผนังทั้ง 4 มุม เป็นเสาติดผนังที่รับกับการลดชั้นหลังคาพอดี หลังคาที่ลดชั้นเพียงเล็กน้อยทำให้รูปทรงหลังคากระชับและกลมกลืนกับรูปทางที่เป็นปริมาตาในแท่งสี่เหลี่ยมได้ และความอ่อนโค้งของหลังคาก็เข้ารูปกับหลังคาเครื่องไม้ของวิหาร โดยเห็นได้จากรูของโครงสร้างหลังตาที่ปรากฏอยู่
ฐานมณฑปเป็นฐานบัว เชิงผนังลดของผนังเข้าไปเป็นร่องประดับเชิงผนังด้วยขอบเส้นคล้ายกระจัง เชิงหลังคาเป็นบัวหงาย ส่วนที่เป็นชั้นลดประดับด้วยลูกแก้วอกไก่แต่หลังคาประธานซึ่งอยู่สูงกว่า แก้ปัญหาได้โดยการเพิ่มลูกแก้วอกไก่อีก 1 แถว และแนวลูกแก้วอกไก่แถวล่างก็ต่อเนื่องตลอด ทำให้สามารถรักษาผนังให้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมได้ ซุ้มด้านหน้าซึ่งซ้อนกัน 2 ชั้นนั้น หัวเสาของซุ้มสูงเท่ากัน แต่แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มหัวเสาสั้นๆ รับซุ้มชั้นบน ลักษณะของซุ้ม เป็นซุ้มแพลมมีหยักและโค้ง ปูนปั้นปรากฏอยู่เล็กน้อย หัวเสาซุ้มประดับด้วยลูกแก้วอกไก่ 3 แถว และเชิงเสาซุ้มประดับด้วยลูกแก้วอกไก่ 2 แถว และบัวคว่ำอีก 2 แถว
เทคนิคการก่อสร้าง เป็นระบบผนังรับน้ำหนัก ก่อด้วยศิลาแลงสอปูน ส่วนใหญ่ใช้ระเบียงอิงลิชบอนด์ (English Bond) หลังคาก่อเหลื่อมกันขึ้นไป ตอนบน 3 ชั้นสุดท้ายก่อแบบหันหัวออก โดยทั่วไปฝีมือการก่อประณีตมาก แม้แต่ส่วนประดับเล็กน้อยก็มีการเตรียมโกลนศิลาแลงไว้อย่างดี ปูนจึงฉาบบางมาก และไม่พบส่วนที่ฉาบปูนหนาหลายชั้น หรือปัญหาการแก้ไขสัดส่วนเลย
เจดีย์ราย อยู่ด้านหลังมณฑปประกอบอาคารหมายเลข 1 จำนวน 4 องค์ เป็นฐานเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมส่วนบนพังทลายไปหมด และมีอีก 2 องค์ อยู่ด้านหลังมณฑปประกอบอาคารหมายเลข 2 แต่ยังไม่ได้ทำการขุดแต่งและบูรณะ
กรมศิลปากร. “วัดกุฏิราย น.1.” ใน ระบบฐานข้อมูลแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมและระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม. (ออนไลน์). เข้าถึงเมื่อ 2 มีนาคม 2558. แหล่งที่มา http://www.gis.finearts.go.th/fad50/fad/display_data.aspx?id=0004294
กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถานศรีสัชนาลัย.กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2535.
คณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุโขทัย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2544.
จุฬรักษ์ ดำริห์กุล. ศรีสัชนาลัย มรดกโลกทางวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, 2537.
นารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร (Guide to Sukhothai Si Satchanalai and Kamphaeng Phet historical parks). กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, 2553.
ทรงยศ วีระทวีมาศ.“มณฑปแบบสุโขทัยในศรีสัชนาลัย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2533.
ประโชติ สังขนุกิจ. นำชมโบราณวัตถุสถาน ในอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2513.
ประโชติ สังขนุกิจ. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2535.
พันธลักษณ์. มรดกโลกในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : บ้านหนังสือ 19, 2547.
พิทยา ดำเด่นงาม และ ประโชติ สังขนุกิจ. รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณวัตถุสถานเมืองเก่า กำแพงเพชร เมืองศรีสัชชนาลัย พ.ศ.2508-2512. พระนคร : กรมศิลปากร คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดกำแพงเพชร, 2514.
ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม. รายงานแบบสำรวจรังวัดโบราณสถานเมืองศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนา ลัย จังหวัดสุโขทัย. กรุงเทพฯ : ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.
สด แดงเอียด. เมืองเชลียง เชียงชื่น ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2536.
สันติ เล็กสุขุม. โบราณสถานกับรูปแบบสันนิษฐานมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2551.
อุดม เชยกีวงศ์. มรดกไทย มรดกโลก : สิ่งล้ำค้าที่ทุกคนในโลกต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา 2549.
เอนก สีหามาตย์. มรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2539.