โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020
ชื่ออื่น : วัดปู่เปี้ย (ร้าง)
ที่ตั้ง : ม.11 ต.ท่าวังตาล อ.สารภี
ตำบล : ท่าวังตาล
อำเภอ : สารภี
จังหวัด : เชียงใหม่
พิกัด DD : 18.749704 N, 98.997564 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ปิง
วัดปู่เบี้ยอยู่ในเวียงกุมกาม อยู่ถัดจากวัดพระเจ้าองค์ดำลงมาทางใต้ ระยะประมาณ 250 เมตร บริเวณหัวมุมสามแยก
วัดปู่เบี้ยเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขุดแต่งแล้ว นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม
กรมศิลปากร
ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 116 ตอนพิเศษ 17ง วันที่ 17 มีนาคม 2542 (วัดปู่เปี้ย(ร้าง))
วัดปู่เบี้ยเป็นโบราณสถานร้าง เดิมมีสภาพเป็นสวนลำไยของบิดานางจันดี และหลังจากที่กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งศึกษาทางโบราณคดี ในปี พ.ศ. 2529 ทำให้พบกลุ่มโบราณสถาน ประกอบด้วย วิหาร เจดีย์ อุโบสถ สถูปแปดเหลี่ยม และแท่นบูชา
ปัจจุบันบริเวณโบราณสถานแวดล้อมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
แม่น้ำปิง
เป็นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ถูกทับถมด้วยตะกอนที่เป็นทรายและหินกรวด ในสมัยโฮโลซีน
ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2529
วิธีศึกษา : ขุดแต่ง
ผลการศึกษา :
พบกลุ่มโบราณสถาน ประกอบด้วย เจดีย์ วิหาร อุโบสถ สถูปแปดเหลี่ยม และแท่นบูชาชื่อผู้ศึกษา : ช่อฟ้าก่อสร้าง (หจก.)
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2555
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์, ปรับปรุงภูมิทัศน์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
หจก.ช่อฟ้าก่อสร้าง ดำเนินการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณสถานวัดปู่เปี้ย ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 - 13 กรกฎาคม 2555 ภายใต้การควบคุมของสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่วัดปู่เบี้ยเป็นโบราณสถานร้าง ชื่อของวัดปู่เบี้ยมาจากการที่ชาวบ้านเรียกตามลักษณะชายชราร่างเล็กที่อาศัยอยู่ภายในบริเวณโบราณสถานแห่งนี้ (คำว่า ปู่เบี้ย หมายถึง ปู่เตี้ย)
กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งศึกษาโบราณสถานวัดปู่เบี้ย ในปี พ.ศ. 2529 (กรมศิลปากร 2548 : 85 – 87) พบข้อมูลของโบราณสถานและโบราณวัตถุ ดังนี้
จากการขุดแต่งศึกษาพบว่าโบราณสถานวัดปู่เบี้ยประกอบด้วย เจดีย์ วิหาร อุโบสถ สถูปแปดเหลี่ยม และแท่นบูชา
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
1. วิหาร คงเหลือเฉพาะส่วนฐานปัทม์ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ห้องด้านหลังมีฐานชุกชีเต็มพื้นที่ห้อง เช่นเดียวกับวัดอีต่าง วัดกู่อ้ายสี วัดกู่อ้ายหลาน และวัดพญามังราย ถัดจากห้องประดิษฐานพระประธานเป็นคูหา (ห้องคันธกุฎี) ภายในวิหารมีเสาวกอด 6 คู่มีบันไดหลักด้านหน้าและบันไดเล็กภายวิหาร 2 แห่งชั้นมีบันไดและห้องครัวหาใครวิหารห้องคันธกุฎีนั้นเชื่อมต่อกับด้านประทักษิณของเจดีย์จากการขุดแต่งพบว่าวิหารวัดปู่เปี้ยมีการก่อสร้างทับซ้อนกัน 2 สมัยโดยสมัยหลังได้มีการขยายยี่ห้อเพิ่มเสาคู่นอกวิหารบริเวณผนังด้านข้างเพื่อรองรับใช้ครับปีกนกทั้ง 2 ข้างใช้เสาคู่ในและสร้างคู่หทัยวิหารห้องคันธกุฎีสร้างมุขโถงตอนหน้าสร้างบันไดทางขึ้นด้านหน้าและตกแต่งหัวเสาด้วยส่วนเหงา
2. เจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณด้านหลังวิหาร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มุมฐานประทักษิณทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบันไดทางขึ้น 1 แห่ง
รูปแบบเจดีย์เป็นทรงปราสาทยอดระฆัง ส่วนฐานตอนล่างเป็นฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส รองรับชั้นหน้ากระดานสี่เหลี่ยมในผังยกเก็จซ้อนกัน 3 ชั้น และชุดฐานปัทม์ยกเก็จซ้อนกัน 2 ชุด แต่ละชุดประกอบด้วย ฐานปัทม์เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น และคั่นไว้ด้วยชั้นหน้ากระดานที่ยืดสูงมาก
ส่วนตอนกลางเป็นเรือนธาตุทรงสี่เหลี่ยม ยกเก็จล้อกับส่วนฐาน มีซุ้มจะนำประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน มุมเรือนธาตุตกแต่งด้วยลายกาบบน กาบล่าง ส่วนองค์เรือนธาตุตกแต่งด้วยลายปูนปั้นแบบล้านนาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน
เหนือเรือนธาตุขึ้นไปเป็นชั้นฐานปัทม์ลดรูป รองรับชั้นมาลัยเถาและองค์ระฆังในผังแปดเหลี่ยม ซึ่งชั้นมาลัยเถาวัดปู่เบี้ยมีลักษณะไม่ตรงตามแบบแผนของเจดีย์ล้านนามากนัก เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์หลายเหลี่ยมหรืออาจเป็นบัลลังก์ทรงกลมก็ได้ ส่วนบนพังทลายไม่ทราบรูปแบบ
รูปแบบของเจดีย์วัดปู่เบี้ยมีวิวัฒนาการในด้านความสูงของชุดฐานอย่างมาก ทั้งฐานเขียงและฐานปัทม์ยกเก็จสูงซ้อนกัน 2 ชุด ซึ่งมีความแตกต่างไปจากเจดีย์ทรงปราสาทในระยะก่อน ดังนั้นอาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในราวครึ่งหลังปลายพุทธศตวรรษที่ 21
3. อุโบสถ หันหน้าสู่ทิศตะวันออก วางผังขนานไปกับแนววิหารและเจดีย์ ตั้งบนฐานเขียงที่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ผนังกำแพงมีช่องปรุรูปกากบาท มีบันไดทางขึ้นด้านหน้า ภายในกำแพงแก้วมีเสมาหินทรายกลมสีแดงและสีเทา อุโบสถก่ออิฐฉาบปูนขาว ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะส่วนปัทม์ ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกเก็จด้านหน้า 2 ตอน ด้านหลัง 1 ตอน ห้องด้านหลังเป็นฐานชุกชีประดิษฐานพระประธาน ภายในอาคารไม่มีเสารองรับโครงสร้างหลังคา แต่ใช้เทคนิคแบบผนังรับน้ำหนักแทน บริเวณฐานหน้ากระดานทองไม้ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นรูปเมฆ หรือลายกรอบช่องกระจกโดยรอบ
4. สถูปแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถ มีกำแพงแก้วล้อมรอบ คงเหลือเฉพาะส่วนฐานปัทม์ที่มีลักษณะเป็นบัวคว่ำ เหนือขึ้นไปเจาะช่องปรุรูปกากบาทเช่นเดียวกับผนังกำแพงแก้วของอุโบสถ ด้านละ 2 ช่อง ที่เหลือพังทลาย แต่จากการพบแผ่นทองจังโกที่ใช้ประดับส่วนปล้องไฉนในบริเวณสถูปนั้น จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถูปแปดเหลี่ยมที่ยอดเป็นองค์ระฆัง ปล้องไฉน และฉัตร และคงเป็นสถูปบรรจุอัฐิของบุคคลสำคัญ เพราะพบหม้อดินเผาเนื้อไม่แกร่ง และเศษกระดูกข้อต่อส่วนมือหรือเท้าของมนุษย์ ด้านหน้าของสถูปแปดเหลี่ยมเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาแบบฐานปัทม์ท้องไม้ลูกแก้วอกไก่
โบราณวัตถุที่พบ
โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปสำริด พระพุทธรูปแก้ว พระพุทธรูปหินทราย พระพุทธรูปปูนปั้น พระพุทธรูปขนาดเล็กเนื้อตะกั่วด้านหลังมีการจารึกคาถา พระพิมพ์ดินเผาประเภทพระผงและพระสิงสอง
นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาที่ผลิตจากแหล่งเตาสันกำแพง เตาเวียงกาหลง และภาชนะดินเผาแบบหริภุญชัย ส่วนโบราณวัตถุประเภทอื่นๆ ได้แก่ แผ่นอิฐมีลวดลาย แก้วหัวแหวนหินสี ลูกปัดหินสี ใบมีดเหล็ก และหอยเบี้ย เป็นต้น
การกำหนดอายุสมัย
จากการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบของสถาปัตยกรรมวิเคราะห์ร่วมกับโบราณวัตถุ จึงสันนิษฐานได้ว่าโบราณสถานวัดปู่เบี้ยน่าจะมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษ 21 – 22
กรมศิลปากร. โบราณคดีสามทศวรรษที่เวียงกุมกาม. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2548.