โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020
ชื่ออื่น : ดงเมืองเตย, ชุมชนโบราณดงเมืองเตย, เมืองโบราณดงเมืองเตย, ดอนเมืองเตย, ศังขปุระ
ที่ตั้ง : ม.1 บ้านสงเปือย ต.สงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว
ตำบล : สงเปือย
อำเภอ : คำเขื่อนแก้ว
จังหวัด : ยโสธร
พิกัด DD : 15.63972 N, 104.258188 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ชี
เขตลุ่มน้ำรอง : หนองฝักหนาม
โบราณสถานดงเมืองเตยตั้งอยู่ภายในชุมชนโบราณดงเมืองเตย ทางทิศใต้ของบ้านดงเมืองเตย ต.สงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร
จากตัวจังหวัดยโสธร ใช้ทางหลวงหมายเลข 23 (ถนนแจ้งสนิท) มุ่งหน้าทางทิศใต้หรือมุ่งหน้าตำบลสงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว ประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวขวามุ่งหน้าบ้านสงเปือย ประมาณ 4.7 กิโลเมตร ถึงตัวหมู่บ้าน เลี้ยวซ้ายใช้ถนนภายในหมู่บ้านประมาณ 550 เมตร เลี้ยวซ้ายอีกประมาณ 650 เมตร ถึงตัวเนินดงเมืองเตยและสำนักสงฆ์ดงเมืองเตย โบราณสถานดงเมืองเตยตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของเนิน
โบราณสถานดงเมืองเตยตั้งอยู่ภายในเมืองโบราณดงเมืองเตยและสำนักสงฆ์ดงเมืองเตย ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมได้ทุกวัน
กรมศิลปากร, สำนักสงฆ์ดงเมืองเตย, องค์การบริหารส่วนตำบลสงเปือย
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานดงเมืองเตย 2 ครั้ง คือ
1. การกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ เล่มที่ 53 หน้า 1535 วันที่ 27 กันยายน 2479
2. การกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานสำหรับชาติ เล่มที่ 121 ตอนพิเศษ 53ง หน้า 5 วันที่ 10 พฤษภาคม 2547
โบราณสถานของเมืองโบราณดงเมืองเตยอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเมืองโบราณดงเมืองเตย โบราณสถานหลังนี้ปัจจุบันเหลือหลักฐานเพียงฐานอาคาร พื้นที่โดยรอบเป็นป่าโปร่งและเป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์ดงเมืองเตย ไม่มีบ้านเรือนราษฎร
แม่น้ำชี, ลำชีหลง, หนองฝักหนาม
ลักษณะธรณีสัณฐานของเมืองโบราณดงเมืองเตย (สมเดช ลีลามโนธณรม 2538) เกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำ โดยเฉพาะลำน้ำชี และลม พัดพาเอาตะกอนมาทับถม และมีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ที่มีระดับแตกต่างกันออกไป เช่นที่ราบน้ำท่วมถึงที่มีตะกอนที่น้ำพัดพามาทับถม ในฤดูฝนมักถูกน้ำท่วม พื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ทำนาปลูกข้าว ปลูกพืชสวนครัวและพืชไร่ ดินที่พบมักมีอายุน้อย ชั้นดินไม่ชัดเจน แต่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นตะกอนใหม่และมีการทับถมเกือบทุกปี
บริเวณลานตะพักลำน้ำระดับต่ำ จะมีระดับสูงกว่าที่ราบน้ำท่วมถึงดังกล่าวข้างต้น แต่ยังมีพื้นที่ราบเรียบ การทับถมของตะกอนใหม่ไม่เกิดขึ้น ยกเว้นบางปีที่มีน้ำท่วมมาก อาจจะมีตะกอนทับถมเป็นชั้นบางๆที่ผิวดินบน เป็นสภาพธรณีที่มีสภาพคงตัวและเกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำที่มีอายุมาก ในพื้นที่นี้จึงมีลักษณะเกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนและดินส่วนใหญ่มีสภาพการระบายน้ำค่อนข้างเลว ใช้ประโยชน์ในการทำนา
อีกพื้นที่หนึ่งคือบริเวณลานตะพักลำน้ำระดับกลางและระดับสูง มีสภาพสูงขึ้นไปจากลานตะพักลำน้ำระดับต่ำตามลำดับ และมีลักษณะเป็นรูปลูกคลื่นไม่ราบเรียบ พื้นที่ลานตะพักลำน้ำระดับกลาง ดินส่วนใหญมีสีน้ำตาล เหลือง หรือน้ำตาลปนเหลือง ส่วนพื้นที่ระดับสูง ดินมีสีแดง ระบายน้ำได้ดี พื้นที่ทั้งสองระดับนี้ล้วนเกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำ และลมพามาทับถมกันเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นชั้นดินที่พบบริเวณนี้จึงมีหน้าตัดดินเกิดขึ้นใหม่ให้เห็นอย่างชัดเจน การใช้ประโยชน์ของดินส่วนใหญ่ใช้ปลูกพืชไร่ พืชสวน ผลไม้ บางส่วนยังคงสภาพป่าธรรมชาติอยู่ ได้แก่ ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ
ดินในบริเวณดงเมืองเตย ประกอบไปด้วยดินชุดร้อยเอ็ด (Roi Et Series และ Loamy Phase) และดินชุดโคราช (Korat Series)
ชุมชนโบราณดงเมืองเตย คงตั้งถิ่นฐานอยู่ในสภาพพื้นที่แบบลานตะพักลำน้ำระดับต่ำ เนื่องจากระดับความสูงของพื้นที่จากแผนที่ทหาร มีความสูงประมาณ 126 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งที่ราบลานตะพักลำน้ำระดับต่ำมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 120-150 เมตร และดินบริเวณนี้เป็นดินชุดร้อยเอ็ด (Roi Et Series) และดินชุดโคราช (Korat Series) ดินทั้งสองเป็นชุดดินที่พบในบริเวณลานตะพักลำน้ำระดับต่ำ โดยดินชุดร้อยเอ็ดจัดเป็นดินโลว์ฮิวมิคเกลย์ ซึ่งมีความเหมาะสมในการเพาะปลูกข้าว
ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2479
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
โบราณสถานดงเมืองเตย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2479ชื่อผู้ศึกษา : ศรีศักร วัลลิโภดม, B.P.Groslier
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2519
วิธีศึกษา : สำรวจ
ผลการศึกษา :
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม สำรวจบริเวณเนินดินที่บ้านสงเปือย และพบว่าเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองดอย ภายในเมืองปรากฏส่วนซากฐานรากโบราณสถาน ศาสตราจารย์โกรลิเยร์ (B.P.Groslier) กล่าวว่าเป็นฐานของโบราณสถานในศิลปะเจนละ และยังพบชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมมีจารึกสมัยพระเจ้าจิตรเสนด้วย (ศรีศักร วัลลิโภดม 2535 : 124)ชื่อผู้ศึกษา : โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2526
วิธีศึกษา : สำรวจ
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
เจ้าหน้าที่โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สำรวจเพื่อศึกษาที่ตั้ง สภาพภูมิศาสตร์ ลักษณะผังเมือง และหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ สันนิษฐานในเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา ได้รับอิทธิพลของเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร สมัยพระเจ้าจิตรเสน ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 (โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 2526 : 1-12)ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2526
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
หน่วยศิลปากรที่ 6 กองโบราณคดี กรมศิลปากรได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีดงเมืองเตย จึงได้ดำเนิน “โครงการขุดค้น-ขุดแต่งโบราณสถานดงเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร” เพื่อขุดค้น-ขุดแต่งเนินดินแห่งนี้เป็นครั้งแรก โดยการขุดค้นเมื่อ พ.ศ.2526 นั้น พบว่าทางด้านทิศตะวันออกของเนินดินมีบันไดทางขึ้นทำด้วยหินทรายแดง และพบแนวอิฐที่ยื่นมาทสงด้านหน้าประมาณ 1 เมตร ด้านใต้มีร่องรอยการลักลอบขุดเป็นหลุมกว้างขนาด 1.2 เมตร สูง 1.7 เมตร จึงได้ทำการก่ออิฐปิดส่วนนี้และได้ต่อเติมมุมเจดีย์ด้านตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลักษณะย่อมุม ด้านตะวันตกของเจดีย์พบชิ้นส่วนแขนประติมากรรมทำจากหินทรายสีเขียว ขนาดยาวประมาณ 8 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร และพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาแบบเขมรกระจายอยู่ทั่วไป ด้านบนของเจดีย์มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีความสูงขององค์เจดีย์ประมาณ 2 เมตรชื่อผู้ศึกษา : ชะเอม แก้วคล้าย
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2528
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
พ.ศ.2528 หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ 6 ได้พบแผ่นหินทรายมีอักษรปัลลวะจารึกอยู่ 1 แผ่นมี 4 บรรทัด บรรทัดละ 4 วรรค ณ บริเวณโบราณสถานดอนเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร จากนั้น หน่วยศิลปากรที่ 6 ได้ถ่ายภาพจารึกนี้ โดยถ่ายภาพเป็น 4 ช่วง คือ ภาพที่ 1 เป็นภาพของวรรคที่ 1 ของบรรทัดที่ 1-4 ภาพที่ 2 เป็นภาพของวรรคที่ 2 ของบรรทัดที่ 1-4 ภาพที่ 3 เป็นภาพของวรรคที่ 3 ของบรรทัดที่ 1-4 และภาพที่ 4 เป็นภาพของวรรคที่ 4 ของบรรทัดที่ 1-4 จากนั้น หน่วยศิลปากรที่ 6 ได้ส่งภาพถ่ายทั้ง 4 นี้ให้แก่กองหอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่อ่าน-แปลเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2526 แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการรายงานข้อมูลไม่ละเอียดรัดกุมของหน่วยศิลปากรที่ 6 จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของกองหอสมุดแห่งชาติเข้าใจว่าภาพทั้ง 4 นี้ เป็นแผ่นศิลาจารึก 4 แผ่น ดังนั้น เมื่อนายชะเอม แก้วคล้าย ผู้อ่านและแปลจึงสรุปออกมาว่า จารึกทั้ง 4 แผ่นนี้อ่านไม่ได้ใจความ ไม่มีความสัมพันธ์กัน ทั้งนี้เพราะเข้าใจว่าภาพจารึกแต่ละภาพ แทนจารึกแต่ละแผ่น แต่กำหนดอายุจากลักษณะของรูปแบบอักษรได้ราวพุทธศตวรรษที่ 12 (ศิลาจารึก 2529 : 168-175)ชื่อผู้ศึกษา : ศรีศักร วัลลิโภดม
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2530
วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาความเชื่อ
ผลการศึกษา :
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม (2535 : 203-204) สำรวจชุมชนโบราณดงเมืองเตยอีกครั้งหนึ่ง พบเศษภาชนะดินเผาแบบทุ่งกุลา ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปะปนกับเศษตะกรันเหล็ก สันนิษฐานว่าชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งวัตถุดิบเหล็กและถลุงเหล็กที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังพบเศษภาชนะดินเผาสมัยทวารวดีและเขมร อาจารย์ศรีศักรได้ตั้งข้อสังเกตถึงใบเสมาซึ่งเป็นของเนื่องในศาสนาพุทธแต่พบบริเวณโบราณศาสนสถานที่เกี่ยวพันกับศาสนาพราหมณ์ว่า เสมาอาจสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างโบราณสถานหรืออาจจะสร้างขึ้นภายหลังชื่อผู้ศึกษา : ประยูร อุลุชาฏะ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2530
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาสถาปัตยกรรม
ผลการศึกษา :
ประยูร อุลุชาฏะ ศึกษาโบราณสถานแห่งนี้และสันนิษฐานว่าเป็นสถาปัตยกรรมในศิลปะเจนละ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 รูปแบบอาคารเหมือนกับอาคารในศิลปะคุปตะรุ่นหลังของอินเดีย (ประยูร อุลุชาฏะ 2530 : 62-63)ชื่อผู้ศึกษา : Claude Jacques
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2531
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
ผลการศึกษา :
จารึกหลักนี้ ศาสตราจารย์โคลด ชาค (Claude Jacques) เสนอผลงานในที่ประชุมทางวิชาการระดับชาติฝรั่งเศส-ไทย ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2531 (โคลด 2531 : 44) โดยตั้งข้อสังเกตถึงพระนามของชนชั้นผู้นำคนหนึ่งที่ปรากฏในจารึกว่ามีลักษณะบางอย่างเหมือนกับพระนามของพระเจ้าจิตรเสน ซึ่งเป็นพระนามเดิมของพระเจ้ามเหนทรวรมันชื่อผู้ศึกษา : ชะเอม แก้วคล้าย
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2532
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
นายชะเอม แก้วคล้าย ได้วิเคราะห์จารึกดอนเมืองเตยอีกครั้งนี้อีกครั้งและพบว่าแท้จริงแล้วสำเนาจารึกทั้ง 4 แผ่น เป็นสำเนาของจารึกแผ่นเดียวกัน แต่ทำสำเนาแยกกัน ดังนั้นเมื่อนำสำเนาจารึกทั้ง 4 ชิ้น มาเรียงต่อกันให้ถูกต้องแล้วก็สามารถอ่านและแปลความหมายได้ จึงได้นำคำอ่านและแปลใหม่นี้ลงตีพิมพ์ในหนังสือ “เมืองอุบลราชธานี” เมื่อปี พ.ศ.2532ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2534
วิธีศึกษา : ขุดค้น, ศึกษาเครื่องมือเครื่องใช้, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ขุดแต่ง, ศึกษาสถาปัตยกรรม
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
หน่วยศิลปากรที่ 6 ดำเนิน “โครงการขุดแต่งและเสริมความมั่นคงโบราณสถานดงเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร” โดยเป็นโครงการฟื้นฟูและบูรณะโบราณสถานเพื่อพัฒนาในเขตพื้นที่อีสานเขียว ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถานดงเมืองเตยครั้งที่ 2 โดยขุดพื้นที่บริเวณโดยรอบโบราณสถาน ทำให้สามารถเห็นรูปแบบสถาปัตยกรรมของโบราณสถานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยโบราณสถานแห่งนี้เป็นเจดีย์ก่ออิฐไม่สอปูนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงประมาณ 1.7 เมตร มีฐานเขียง 2 ชั้น มีบันไดทางขึ้นด้านทิศตะวันออกและมีอัฒจรรย์ก่อด้วยอิฐอยู่ด้านหน้า ถัดไปเป็นทางเดินด้านหน้ายาวประมาณ 28 เมตร รอบองค์เจดีย์มีลักษณะเป็นลานอิฐ สันนิษฐานว่าเป็นการนำอิฐส่วนที่พังทลายมาต่อเติมขึ้นภายหลัง นอกจากการขุดแต่งโบราณสถานแล้ว หน่วยศิลปากรที่ 6 ยังได้ทำการขุดหลุมทดสอบเพื่อตรวจสอบชั้นวัฒนธรรมหรือการใช้พื้นที่ของคนในอดีต โดยขุดบริเวณที่เนินห่างจากโบราณสถานดงเมืองเตยไปทางทิศเหนือประมาณ 30 เมตร จาการขุดค้นสามารถแบ่งชั้นดินธรรมชาติได้ออกเป็น 6 ชั้น และชั้นวัฒนธรรมได้ 4 สมัย (ธรดรา ทองสิมา และนฤมล เภกะนันท์ 2536 : 14-49)ชื่อผู้ศึกษา : ธิดา สาระยา
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2535
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์
ผลการศึกษา :
ธิดา สาระยา (2535 : 45-64) ศึกษาชุมชนโบราณต่างๆ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหรือตอนล่าง และมีข้อเสนอว่าบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรเจนละอยู่ตรงพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เมืองโบราณดงเมืองเตยเป็นเมืองหนึ่งในอาณาจักรเจนละ และเป็นศูนย์กลางของเมืองเล็กๆโดยรอบชื่อผู้ศึกษา : สมเดช ลีลามโนธรรม
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2538
วิธีศึกษา : ศึกษาเครื่องมือเครื่องใช้, ศึกษาโลหะ, ศึกษาภาชนะดินเผา, ศึกษาความเชื่อ, ศึกษาการปลงศพ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาสถาปัตยกรรม, ศึกษาสภาพแวดล้อม, ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่, ศึกษาสภาพสังคม
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร
ผลการศึกษา :
สมเดช ลีลามโนธรรม เสนอสารนิพนธ์สาขาวิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในหัวข้อ “การศึกษาการพัฒนาการของชุมชนเมืองโบราณดงเมืองเตย บ้านสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร”โบราณสถานดงเมืองเตยตั้งอยู่บริเวณทางตะวันออกของเมืองโบราณดงเมืองเตย โบราณสถานหลังนี้ปัจจุบันเหลือหลักฐานเพียงฐานอาคาร
ชุมชนโบราณดงเมืองเตย มีการอยู่อาศัยมายาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยโลหะ อายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว จากหลักฐานทางจารึกและโบราณสถานแสดงให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรเจนละที่แพร่เข้ามายังพื้นที่นี้
ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 มีการขุดคูน้ำและทำคันดินล้อมรอบเมือง ชาวเมืองโบราณดงเมืองเตยนับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายเป็นหลัก ข้อความในจารึกได้กล่าวถึงการสร้างศิวลึงค์ โบราณสถานดงเมืองเตยสร้างขึ้นในสมัยนี้และรูปแบบของโบราณสถานคงได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 12-14)
ระยะต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 ชุมชนแห่งนี้คงมีการเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ดังได้พบหลักฐานของการปักใบเสมาหิน ที่พบว่ามีทั้งปักอยู่บริเวณโบราณสถาน และปักในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง การอยู่อาศัยของผู้คนและพัฒนาการของชุมชนแห่งนี้ดำเนินเรื่อยมา
ราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ปรากฏอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรที่แพร่เข้ามาอย่างชัดเจน มีการใช้ประโยชน์โบราณสถานเป็นศูนย์กลางเมืองต่อไป ดังได้พบประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์มีลักษณะศิลปะเขมรแบบบาปวน หลังจากกลางพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนของการอยู่อาศัยของผู้คน ณ ชุมชนแห่งนี้ หลังจากพุทธศตวรรษที่ 18 เมืองโบราณและตัวโบราณสถานแห่งนี้คงถูกทิ้งร้างเนื่องจากไม่พบหลักฐานการอยู่อาศัยในระยะต่อมาเลย
จากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีของสำนักสงฆ์ดงเมืองเตยเมื่อปี 2525 และการขุดค้น-ขุดแต่งเมื่อปี 2534 สามารถแยกประเภทของโบราณวัตถุได้เป็นประเภทหินทราย ได้แก่องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม และประเภทดินเผา ได้แก่ของใช้ประเภทภาชนะดินเผาต่างๆ
ลักษณะของสถาปัตยกรรม (สมเดช ลีลามโนธรรม 2538)
โบราณสถานมีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐไม่สอปูน ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า เท่าที่ยังคงหลงเหลือสูงประมาณ 1.7 เมตร กว้างประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 5.5 เมตร ฐานอาคารประกอบด้วยฐานเขียง 4 ชั้น ถัดขึ้นมาเป็นฐานบัวอันประกอบด้วยหย้ากระดานล่าง บัวคว่ำ ถัดขึ้นไปเป็นท้องไม้ ซึ่งมีการแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในมีลวดลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กซ้อนกัน 3 ชั้น เหนือขึ้นไปเป็นบัวหงาย ซึ่งเรียกว่า บัวรวน และหน้ากระดานบน
ฐานเขียงชั้นแรกหรือชั้นล่างสุดมีขนาดใหญ่กว่าฐานชั้นที่ 2 เป็นฐานที่ยื่นห่างออกจากตัวอาคารมาทางทิศตะวันออก โดยฐานเขียงชั้นแรกมีขนาดประมาณ 9x12.5 เมตร ฐานเขียงชั้นที่ 2 มีขนาดประมาณ 7x8 เมตร ฐานเขียงชั้นที่ 3 และ 4 มีขนาดประมาณ 6x6 เมตร
ถัดจากฐานเขียงขึ้นไปเป็นฐานบัวอันประกอบไปด้วยหน้ากระดานล่าง บัวคว่ำ ท้องไม้ บัวหงาย และหน้ากระดานบน ระหว่างท้องไม้กับบัวคว่ำบัวหงายมีลวดบัวเล็กๆ คั่นอยู่ทั้งด้านบนและล่างอย่างละ 1 ชั้น
ภายในท้องไม้มีการเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นช่วงๆ จากลักษณะที่เหลืออยู่คาดว่าน่าจะมีด้านละ 3 ช่อง โดยมีแนวอิฐคั่น ภายในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีการทำลวดลายขีดเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเรียงซ้อนกัน 3 แถว ลวดลายภายในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ยังคงหลงเหลือหลักฐานอยู่ที่ด้านเหนือและตะวันตก
ชั้นบัวหงายมีการประดับด้วยการทำเป็นลายบัวรวนเรียงต่อกัน คาดว่าคงเรียงต่อกันโดยตลอดแนวของบัวหงาย แต่เหลือหลักฐานเพียงบางช่วงที่ด้านทิศเหนือและตะวันตก
ถัดจากบัวหงายขึ้นไปเหลือเพียงแนวอิฐที่เรียงต่อกัน 4-5 ชั้น บริเวณด้านทิศเหนือและทิศใต้ของตัวอาคารมีร่องรอยการบากอิฐเป็นหลุมเสาเข้าไปในตัวฐานอาคารหลังนี้
อาคารหลังนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยฐานเขียงชั้นที่ 1 และ 2 มีการก่ออิฐเป็นแนวยื่นออกมาทางทิศตะวันออก และมีการย่อมุมโดยฐานเขียงชั้นที่ 1 ย่อมุม 3 ช่วง ฐานเขียงชั้นที่ 2 ย่อมุม 2 ช่วง บริเวณริมทั้ง 2 มีร่องรอยของหลุมเสากลม โดยฐานเขียงชั้นที่ 1 มีรอยหลุมเสา 2 คู่ ฐานเขียงชั้นที่ 2 มีรอยหลุมเสา 1 คู่
ทางด้านเหนือและตะวันออกของด้านข้างของฐานเขียงชั้นที่ 1 ที่ยื่นออกมาทางทิศตะวันออก มีลวดลายช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ภายในช่องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่เรียงกัน 1 แถว
บริเวณทางขึ้นด้านทิศตะวันออกติดกับฐานเขียงชั้นที่ 1 มีอัฒจรรย์ก่อเป็นรูปปีกกา 1 ชั้น ต่อจากอัฒจรรย์มีการก่ออิฐเป็นลายทางเดินด้านหน้า ยาวประมาณ 28 เมตร ช่วงระหว่างกลางลานด้านหน้ามีการก่ออิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมหลายชั้น ตรงกลางจะสูงกว่าส่วนอื่น
บริเวณรอบตัวอาคารมีการก่ออิฐเป็นลานรูปร่างต่างๆไม่แน่นอน มีการเรียงอิฐไม่เป็นระเบียบ ชาดเป็นตอนๆ เป็นรูปร่างต่างๆ ทางทิศเหนือห่างจากฐานเขียงชั้นที่ 1 ประมาณ 1.5 เมตร มีแนวอิฐก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรงกลางเจาะเป็นรูสี่เหลี่ยม
การขุดตรวจเพื่อศึกษาฐานของอาคารของหน่วยศิลปากรที่ 6 บริเวณประชิดฐานด้านทิศตะวันตกของกึ่งกลางงฐาน พบว่าการวางฐานรากชั้นล่างสุดของอาคารหลังนี้เป็นทรายปนกรวดตาหนู ชั้นถัดขึ้นมามีการนำแศษตะกรันที่เกิดจากการถลุงเหล็กมาถมอัดเป็นฐานของอาคารอีกชั้นหนึ่ง
ถัดจากชั้นทรายปนกรวดตาหนูที่เป็นฐานของอาคารลงไปเป็นชั้นดินซึ่งพบเศษภาชนะดินเผา รูปแบบและเนื้อภาชนะเป็นแบบเดียวกับที่ได้จากหลุมขุดตรวจชั้นวัฒนธรรมในชั้นดินธรรมชาติที่ 2 คือ เป็นภาชนะเนื้อดิน เนื้อหนาค่อนข้างหยาบ ทาน้ำดินสีแดง
การกำหนดอายุ
ลักษณะของฐานอาคารดังกล่าวสามารถเปรียบเทียบได้กับฐานอาคารในศิลปะเขมรสมัยก่อนเมืองพระนครแบบสมโบร์ไพรกุก อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ 12 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 13
ส่วนฐานของโบราณสถานดงเมืองเตยสามารถเทียบได้กับฐานของโบราณสถานหัวชัย (Han Chei) ในเมืองสมโบร์ไพรกุก ประเทศกัมพูชา โดยมีการทำฐานเขียงขนาดใหญ่ 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวที่ประกอบไปด้วยหน้ากระดานล่าง บัวคว่ำที่ทำเรียบๆ ท้องไม้ซึ่งมีการแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในทำเป็นลายตารางหมากรุก ระหว่างช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำเป็นลายพันธุ์พฤกษา บัวหงาย และหน้ากระดานบน ระหว่างฐานเขียงกับหน้ากระดานล่างและบัวคว่ำมีลวดบัวคั่วอยู่ 2 ชั้น ชั้นหนึ่งทำเป็นลวดลายช่องสี่เหลี่ยม ภายในมีสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กอยู่ ซึ่งพบที่ฐานเขียงชั้นล่างหรือชั้นแรกของโบราณสถานดงเมืองเตยด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถเทียบได้กับโบราณสถานหลังอื่นๆอีก เช่น ปราสาทสมโบร์ไพรกุกหมู่เหนือหลังที่ 21 ซึ่งฐานมีลักษณะคล้ายกับโบราณสถานดงเมืองเตย โดยฐานบัวชั้นล่างสุดเป็นฐานเรียบๆที่น่าจะเป็นบัวคว่ำ บริเวณท้องไม้มีการแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในทำเป็นลายตารางหมากรุก ถัดขึ้นไปเป็นบัวหงายซึ่งมีการประดับด้วยบัวรวน เช่นเดียวกับโบราณสถานดงเมืองเตย (สมเดช ลีลามโนธรรม 2538)
ลายขีดเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ภายในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าของโบราณสถานดงเมืองเตยนี้ มีลักษณะต่างไปจากลายตารางหมากรุก (ซึ่งมีส่วนยื่นนูนขึ้นมาสลับกัน) ของโบราณสถานที่เมืองสมโบร์ไพรกุกดังที่กล่าวมา เหตุที่เป็นเช่นนี้คงเกิดจากลักษณะศิลปะของพื้นเมืองที่มีการทำลวดลายบางอย่างเป็นของตนเอง หรือไม่ก็อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของศิลปะคือเมืองสมโบร์ไพรกุก จึงมีการทำลวดลายบางอย่างแตกต่างไปบ้าง แต่ก็ยังลักษณะร่วมบางอย่างที่คล้ายกัน คือการทำเป็นช่องสี่เหลี่ยม (สมเดช ลีลามโนธรรม 2538)
อนึ่ง ลายตารางหมากรุกนี้ยังพบที่ฐานเรือนธาตุของจุลประโทน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นโบราณสถานในศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) ในสมัยการสร้างครั้งแรก ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 12 (พิริยะ ไกรฤกษ์ 2528 : 27) และลายบัวรวนยังพบว่ามีการใช้เป็นลวดลายประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในศิลปะทวารวดี เช่น ชิ้นส่วนสถูปที่ค้นพบในจังหวัดนครปฐม ลายบัวรวนยังมีลักษณะคล้ายกับลายใบไม้ม้วนที่อยู่ใต้ลายพวงมาลัยและพวงอุบะของทับหลังในศิลปะเขมรแบบสมโบร์ไพรกุก ที่พบจากปราสาทเขาน้อย จังหวัดสระแก้ว ลายใบไม้ม้วนนี้ยังเหมือนกับที่พบที่ผนังปราสาทสมโบร์ไพรกุกหมู่ใต้หลังที่ 8 ด้วย (สมิทธิ ศิริภัทร และมยุรี วีระประเสริฐ 2533 : 64)
บริเวณด้านหน้าของฐานเขียงชั้นที่ 1 ทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางเข้าของโบราณสถานดงเมืองเตย มีการก่ออิฐเป็นรูปอัฒจรรย์ปีกกา 1 ชั้น ศ.ชอง บวสเซอลีเยร์ (Jean Boisselier) กล่าวว่าบันไดขั้นแรกที่ก่อเป็นปีกกานี้ปรากฏอยู่เฉพาะในสถาปัตยกรรมที่ยอมรับเอาประเพณีขอมมาใช้ (ชอง บวสเซอลีเยร์ 2511 : 61) อัฒจรรย์ในศิลปะเขมรก่อนเมืองพระนครมักจะมีการซ้อนกัน 2 ชั้น เริ่มแรกนั้นจะปรากฏเป็นวงโค้งปีกกาอย่างง่ายๆ บางๆ และเชื่อมติดกันโดยใช้ลวดลายก้นหอย ดังเช่นอัฒจรรย์ที่ปราสาทไพรเจก (Prei Chek) ในศิลปะแบบไพรกเมง (ปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13) (Boisselier 1966 : 195)
อัฒจรรย์ของโบราณสถานดงเมืองเตยก่อด้วยอิฐเป็นรูปปีกกาบางๆ 1 ชั้น ปลายวงโค้งก่ออิฐเป็นรูปวงโค้งเล็กๆอย่างคร่าวๆ อาจเทียบได้กับอัฒจรรย์ของปราสาทในศิลปะเขมรช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 เช่น ปราสาทไพรเจก (Prei Chek) ในศิลปะแบบไพรกเมง (สมเดช ลีลามโนธรรม 2538)
จากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่กล่าวมาทำให้สันนิษฐานได้ว่าโบราณสถานดงเมืองเตยนี้คงเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรสมัยก่อนเมืองพระนครที่มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 12-13
ก่องแก้ว วีระประจักษ์. “อารยธรรมอีสานสมัยพระเจ้ามเหนทรวรมัน.” ศิลปากร 32, 3 (กรกฎาคม-สิงหาคม 2531) : 13-25.
กรมศิลปากร. ทะเบียนโบราณสถาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เล่ม 1 จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร. กรุงเทพฯ : โครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2529 : 251-253.
กรมศิลปากร. เมืองอุบลราชธานี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2532.
กรมศิลปากร. แหล่งท่องเที่ยวอีสานล่าง. กรุงเทพฯ : เอกสารกองโบราณคดี หมายเลข 8/2533 กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2533.
โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ). รายงานการสำรวจแหล่งเมืองโบราณจังหวัดยโสธร. ม.ป.ท., 2526.
โคลด, ชาค. “เขมรในประเทศไทย ข้อมูลที่ปรากฏในจารึก.” แปลโดย อุไรศรี วรศะริน ใน การประชุมทางวิชาการระดับชาติฝรั่งเศส-ไทย ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2531 : 35-54.
ชะเอม แก้วคล้าย. “ศิลาจารึกดอนเมืองเตย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13.” ศิลปากร 29, 2 (พฤษภาคม 2528) : 70-73.
ชะเอม แก้วคล้าย. “จารึกดอนเมืองเตย.” ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม 1 : อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 12-14. กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529 : 168-175.
เทิม มีเต็ม และชะเอม แก้วคล้าย. “จารึกสำคัญที่พบในเขตจังหวัดอุบลราชธานีและยโสธร.” ใน เมืองอุบลราชธานี. กรุงเทพฯ : กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2532 : 196-213.
ธรดรา ทองสิมา และนฤมล เภกะนันท์. รายงานการขุดแต่งโบราณสถานดงเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร. ม.ป.ท., 2536.
ธิดา สาระยา. อาณาจักรเจนละ ประวัติศาสตร์อีสานโบราณ. กรุงเทพฯ : บริษัท พิฆเนศ พริ้นติ้งเซ็นเตอร์ จำกัด, 2535.
นพวรรณ สิริเวชกุล. “ย้อนรอยเมืองเตย เมืองโบราณของยโสธร.” วัฒนธรรมไทย 35, 11 (สิงหาคม 2541) : 17-20.
บวสเซอลีเยร์, ชอง. “ศิลปทวารวดี ตอนที่ 1.” แปลโดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล. ศิลปากร 11, 5 (มกราคม 2511), 35-64.
ประยูร อุลุชาฏะ (น. ณ ปากน้ำ). “ก่อนหน้าหินยานลังกา.” เมืองโบราณ 13, 4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2530) : 55-64.
พิริยะ ไกรฤกษ์. ประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย ฉลัลคู่มือนักศึกษา. กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2528”
ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน แฉหลักฐานโบราณคดี พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท พิฆเนศ พริ้นติ้งเซ็นเตอร์ จำกัด, 2535.
ศิลาจารึก. จารึกในประเทศไทย เล่ม 1-4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, 2529.
สมเดช ลีลามโนธรรม. “การศึกษาการพัฒนาการของชุมชนเมืองโบราณดงเมืองเตย บ้านสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2538.
สมิทธิ ศิริภัทร และมยุรี วีระประเสริฐ. ทับหลัง การศึกษาเปรียบเทียบทับหลังที่พบในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา. กรุงเทพฯ : โมเดอร์นเพลส, 2533.
สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ศิลปะในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้งกรุ๊พ จำกัด, 2534.
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, หม่อมราชวงศ์. ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย : ภูมิหลังทางปัญญา รูปแบบทางศิลปกรรม. กรุงเทพฯ : บริษัท พิฆเนศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด, 2537.
หน่วยศิลปากรที่ 6 นครราชสีมา กรมศิลปากร. รายงานการขุดแต่งโบราณสถานดงเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร. นครราชสีมา. กรมศิลปากร, 2536.
Boisselier, Jean. Le Combodge. Tome I. Manuel d’ Archaeology d’ Extreme-Orrient. Paris, 1966.
Piriya Kairiksh. “Semas with Scenes from the Mahanipata – Jatakas in the National Museum at Khon Kaen.” Art and Archaeology in Thailand. Prachaubkirikhan : Infantary Center Printing Press, 1974 : 35-66.