โพสต์เมื่อ 26 เม.ย. 2021
ชื่ออื่น : ปราสาทพระปืด, วัดปราสาทแก้ว, วัดพระปืด
ที่ตั้ง : ม.2 บ้านพระปืด ต.บ้านแร่ อ.เขวาสินรินทร์
ตำบล : ปราสาททอง
อำเภอ : เขวาสินรินทร์
จังหวัด : สุรินทร์
พิกัด DD : 14.966396 N, 103.584797 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : มูล
เขตลุ่มน้ำรอง : ลำห้วยระวี
ชุมชนโบราณบ้านพระปืด ตั้งอยู่ที่ ม.2 บ้านพระปืด ต.บ้านแร่ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร
การเดินทางจากตัวจังหวัดสุรินทร์ ใช้ถนนสุรินทร์-จอมพระ มุ่งหน้าทางทิศเหนือ เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 9 บ้านนาเกา ให้เลี้ยวขวาผ่านบ้านบึง บ้านห้วยราช ซึ่งเป็นถนนลูกรังอีกประมาณ 6 กิโลเมตร จะเข้าสู่บ้านพระปืดทางด้านทิศใต้
อีกเส้นทางหนึ่งคือจากตัวจังหวัดสุรินทร์ ใช้เส้นทางสุรินทร์-จอมพระ ถึงหลักกิโลเมตรที่ 14 ให้เลี้ยวขวาตามถนนนาตัง-ศีขรภูมิ ประมาณ 4 กิโลเมตร จนถึงสี่แยกวัดโพธิ์รินทร์วิเวก บ้านเขวาสินรินทร์ ให้เลี้ยวอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ผ่านบ้านแร่ ก่อนจะเข้าสู่บ้านพระปืดทางด้านทิศเหนือ วัดปราสาทแก้วที่เป็นที่ตั้งของโบราณสถานตั้งอยู่ใกล้กับที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแร่
โบราณสถานปราสาทแก้วหรือปราสาทพระปืดที่ตั้งอยู่ภายในวัดปราสาทแก้ว วัดแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อราว พ.ศ.2457 และยังคงใช้งานอยู่จนภึงปัจจุบัน
นอกจากโบราณสถานปราสาทแก้วแล้ว ภายในวัดยังมีวิหารที่ประประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิราบ พระเศียรทรงเทริด มีรัศมีเป็นรูปกลีบบัวหงาย มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 24 หรือราวสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวบ้านเรียกว่าพระเสี่ยงทาย หรือพระปืดองค์เล็ก
นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าศึกษาชุมชนโบราณบ้านพระปืดและโบราณสถานปราสาทแก้วได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม
กรมศิลปากร, วัดปราสาทแก้ว
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานปราสาทวัดแก้ว ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 119 ตอนพิเศษ 117ง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2545
ปราสาทแก้ว หรือปราสาทพระปืด ตั้งอยู่ภายในวัดปราสาทแก้ว ในเขตคูน้ำคันดินด้านทิศตะวันออกของเมืองโบราณบ้านพระปืด ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดของหมู่บ้าน เป็นโบราณสถานที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว
ลำห้วยระวี, แม่น้ำชี, แม่น้ำมูล
เมืองโบราณมีลักษณะเป็นเนินดินบนพื้นที่ราบที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาในยุคควอเทร์นารี พื้นที่โดยรอยเป็นพื้นที่ราบมีลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อย
ลักษณะดิน (กรมศิลปากร 2526 : 3-4 ; ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545) เป็นดินชุดร้อยเอ็ด (Roi-Et Series) ค่อนข้างร่วน วัตถุต้นกำเนิดดินที่น้ำพัดพามาทับถมกันเป็นเวลานาน มีความลาดชันมากกว่า 2% ดินชุดนี้เป็นดินลึกมาก มีการระบายน้ำเลว น้ำซึมผ่านได้ช้า มีการไหลบ่าของน้ำบนผิวดินช้า ตามปกติน้ำใต้ดินจะอยู่ลึก 3 เมตรในฤดูแล้ง ดินชั้นบนลึกไม่เกิน 25 เซนติเมตร เนื้อดินเป็นดินร่วนหรือร่วนเหนียวปนทรายแป้ง สีดินเป็นสีน้ำตาล สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเทาปนน้ำตาลอ่อน มีจุดประสีน้ำตาลเข้ม สีน้ำตาลปนเหลือง หรือสีแดง มีค่า pH ประมาณ 5.2-5.8 เป็นกรดปานกลางถึงกรดแก่
ส่วนดินชั้นล่างที่ลึกกว่า 25 เซนติเมตรลงไปมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนดินเหนียว จนถึงดินเหนียว สีดินเป็นสีเทาปนน้ำตาลอ่อน หรือสีเทาอ่อน มีขุดประสีน้ำตาลเข้ม สีแดงปนเหลือง หรือสีแดง มีค่า pH ประมาณ 5-5.6 เป็นกรดปานกลางถึงกรดแก่ นอกจากนี้ดินยังมีความเค็มซึ่งเกิดจากการสะสมตัวของเกลือใต้ผิวดินอีกด้วย ผลการวิเคราะห์ดินทางเคมีพบว่ามีอินทรีย์วัตถุปนอยู่ค่อนข้างต่ำ มีฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก
ส่วนโดยรอบตัวแหล่งซึ่งปัจจุบันเป็นทุ่งนานั้นเป็นดินชุดร้อยเอ็ด (Roi-Et Series) อันเป็นดินที่เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่มีน้ำพัดพามาเช่นเดียวกับภายในตัวแหล่ง
ชื่อผู้ศึกษา : นิติ แสงวัณณ์, สุพจน์ พรหมมาโนช
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2526
วิธีศึกษา : สำรวจ
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
นิติ แสงวัณณ์ และสุพจน์ พรหมมาโนช สำรวจและจัดทำรายงานสำรวจเมืองโบราณบ้านพระปืด ในโครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ของกรมศิลปากร โดยกล่าวถึงชุมชนโบราณแห่งนี้พอสังเขปว่ามีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยพิจารณาจากโครงกระดูกที่บรรจุอยู่ในภาชนะดินเผา ซึ่งเป็นประเพณีการฝังศพครั้งที่ 2 กำหนดอายุจากการเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีบ้านโนนยาง อ.ชุมพลบุรี ได้ประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว นอกจากนี้ยังพบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีนำตาลดำ บ่งชี้ว่าชุมชนแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 (กรมศิลปากร 2526 : 9-10)ชื่อผู้ศึกษา : สมบัติ พริ้งเพราะ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2537
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : สถาบันราชภัฏสุรินทร์
ผลการศึกษา :
สมบัติ พริ้งเพราะ สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ศึกษาและสัมภาษณ์เพื่อจัดทำประวัติหมู่บ้านพระปืด กล่าวว่าบ้านพระปืดเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นแล้วร้างไปในสมัยที่เขมรเสื่อมอำนาจ ต่อมามีชาวส่วยหรือกูย ชื่อตาพรหม อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านนี้อีกครั้ง (สมบัติ พริ้งเพราะ 2537 : 7)ชื่อผู้ศึกษา : สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2541
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา พร้อมด้วยศึกษาธิการกิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ ได้ตรวจสอบและรับมอบโบราณวัตถุที่ชาวบ้านพระปืดขุดพบภายในหมู่บ้าน รวม 7 รายการ ได้แก่ ประติมากรรมนางปรัชญาปารมิตาสำริด 2 องค์ ภาชนะสำริดทรงครึ่งวงกลม 3 ใบ สังข์สำริด 1 ชิ้น และฐานสำริด 1 ชิ้น (สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา 2541) ปัจจุบันโบราณวัตถุเหล่านี้เก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑืสถานแห่งชาติ สุรินทร์ชื่อผู้ศึกษา : สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา สำรวจโบราณสถานปราสาทแก้ว เพื่อขึ้นทะเบียนโบราณสถาน โดยลำดับความสำคัญโบราณสถานเป็นมรดกทางวัฒนธรรม มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นโบราณสถานที่แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในวัฒนธรรมล้างช้าง หรือพื้นถิ่นอีสานร่วมสมัยกับอยุธยา (สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา 2545 : 3)ชื่อผู้ศึกษา : สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา บูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทแก้ว วัดพระปืด ใน “โครงการงานบูรณะปราสาทแก้ว วัดพระปืด” ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 26 ธันวาคม 2545ชื่อผู้ศึกษา : ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545
วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาเครื่องมือเครื่องใช้, ศึกษาความเชื่อ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาสถาปัตยกรรม, ประวัติศาสตร์, ศึกษาตำนาน
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร
ผลการศึกษา :
ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ เสนอสารนิพนธ์เพื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ในหัวข้อ “การศึกษาพัฒนาการชุมชนโบราณบ้านพระปืด ตำบลบ้านแร่ กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์” โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาคือ เพื่อศึกษาประวัติและตำนาน โบราณสถาน โบราณวัตถุ และพัฒนาการของชุมชนโบราณบ้านพระปืดปราสาทแก้ว หรือปราสาทพระปืด (ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545) ตั้งอยู่ภายในวัดปราสาทแก้ว ในเขตคูน้ำคันดินด้านทิศตะวันออกของเมืองโบราณบ้านพระปิด ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดของหมู่บ้าน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม โบราณสถานพระปืด มีลักษณะเป็นอาคารสิมโปร่ง รูปสี่เหลียมผืนผ้า มีขนาด กว้าง 6.5 เมตร ยาว 14.5 เมตร มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าคือทิศตะวันออก 2 บันได (ซ้าน-ขวา) ฐานยกสูงประมาณ 1.6 เมตร ส่วนฐานก่อด้วยศิลาแลง เหนือขึ้นไปก่อด้วยอิฐสอดิน แต่ยังมีบางส่วนที่มีศิลาแลงประกอบ อิฐที่ใช้มีขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร และหนา 6 เซนติเมตร ลักษณะการก่อเป็นแบบ English bond คือแบบที่ใช้ด้านกว้างและยาวของอิฐก่อสลับชั้นกัน และในส่วนบนของฐานบางด้านปรากฏร่องรอยอิฐปาดมุม ลักษณะจงใจตกแต่งเป็นเส้นลวดบัวของชุดฐาน
มีโครงสร้างไม้โดยรอบอาคารรองรับหลังคา โครงสร้างหลังคาเป็นโครงไม้มุงสังกะสีลดหลั่นซ้อนกัน 2 ชั้น ชาวบ้านเล่าว่า (กรมศิลปากร 2526 : 7) แต่เดิมส่วนหลังคาเคยมุงด้วยแป้นเกล็ดหรือกระเบื้องไม้ นอกจากนี้ ยังมีช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยไม้ประดับอยู่บนหลังคาด้วย (แต่ปัจจุบันได้ผุพังหมดแล้ว
ด้านในสุดของอาคารก่ออิฐเป็นซุ้มปราสาทย่อมุมไม้สิบสอง ซุ้มปราสาทหรืออูบมุง มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดกว้างและยาวด้านละ 2.5 เมตร สูงประมาณ 4.5 เมตร ส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง ด้านหน้า (ด้านทิศตะวันออก) มีการฉาบปูนปิดทับ ส่วนด้านหลัง (ด้านทิศตะวันตก) ยังปรากฏสภาพดั้งเดิมว่าเป็นชุดฐานบัวลูกแก้วอกไก่ คือประดอบด้วยบัวคว่ำ ท้องไม้ที่คาดประดับด้วยแถบนูนเป็นสัน และบัวหงายตามลำดับ
ถัดขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง มีบัวเชิง และบัวรัดเกล้า ประดับที่มุมส่วนล่างและส่วนบนของเรือนธาตุ ด้านหน้า (ด้านทิศตะวันออก) มีช่องคูหาสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชร (พระปืด) พื้นผนังเรียบเพราะฉาบด้วยปูนซีเมนต์สมัยใหม่ ส่วนผนังด้านอื่นๆ เป็นผนังทึบเรียบ ยังปรากฏร่องรอยการฉาบปูนแบบเก่า และภายในปราสาทยังปรากฏร่องรอยโครงสร้างไม้ที่เป็นคานด้วย เครื่องบนมีลักษณะเป็นชั้นซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป สภาพชำรุด
การกำหนดอายุ จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมของปราสาทแก้วในปัจจุบัน สามารถแบ่งโครงสร้างหลักออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนตัวปราสาท และส่วนของอาคารที่หลังคาคลุม โดยส่วนของตัวปราสาทน่าจะสร้างขึ้นมาก่อน ต่อมาจึงมีการสร้างอาคารที่มีหลังคาเครื่องไม้คลุมทับลงไปในภายหลัง (ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545)
เมื่อพิจารณาเฉพาะตัวปราสาทอิฐ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก คือกว้างและยาวเพียง 2.5 เมตร จากหลักฐานแนวศิลาแลงเรียงอยู่ที่ส่วนล่างของฐาน อาจเป็นได้ว่าตัวปราสาทอิฐนี้สร้างอยู่บนฐานอาคารที่มีอายุเก่าแก่กว่า ซึ่งฐานดังกล่าวน่าจะเป็นโบราณสถานสมัยวัฒนธรรมเขมร อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-18 (ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545)
สำหรับตัวปราสาทแก้วนี้เมื่อพิจารณาแล้วสันนิษฐานว่าส่วนบนคงก่อเลียนแบบเรือนธาตุ โดยย่อส่วนให้เล็กลง ก่อเรียงซ้อนชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปในลักษณะที่สูงเพรียว (แผนผังที่ 4) เช่นเดียวกับปรางค์บริวารองค์ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทศีขรภูมิ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นปราสาทแบบเขมรที่ได้รับการบูรณะโดยกลุ่มชนท้องถิ่นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23-24 ทำให้มีลักษณะที่สูงเพรียวแตกต่างไปจากปราสาทเขมรทั่วไป (สมมาตร์ ผลเกิด 2529 : 45) อย่างไรก็ตาม ตัวปราสาทแก้วมีขนาดเล็กกว่าปราสาทศีขรภูมิมาก คงเป็นเพราะสร้างโดยชุมชนขนาดเล็กกว่า หรือมีกำลังอำนาจน้อยกว่านั่นเอง (ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545)
นอกจากนี้ การสร้างอาคารที่มีขนาดเล็กก่ออิฐ ผนังทึบ ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงช่องคูหาแคบๆ สำหรับประดิษฐานรูปเคารพเช่นนี้ เป็นลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่นิยมสร้างกันมากในแถบภาคอีสานเรียกว่า “อูบมุง” (ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ 2545)
ตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง :
บ้านพระปืด แต่เดิมมีชื่อว่า บ้านประปืด ซึ่งสันนิษฐานว่า คำว่า “ประปืด” คงเพี้ยนมาจากคำว่า “เปรียะปืด” ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างภาษาพื้นเมืองเขมรกับกูย เพราะคำว่า “เปรียะ” ในภาษาพื้นเมืองเขมร แปลว่า “พระพุทธรูป” คำว่า “ปืด” เป็นภาษากูย แปลว่า “ใหญ่”
คำว่า บ้านประปืด ได้ใช้เรียกกันมานานแล้ว แต่ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนเป็น "บ้านพระปืด" เพื่อให้เรียกง่ายเข้า และแปลตรงตัวจากภาษาไทยปนกับภาษาพื้นเมืองกูย ซึ่งเข้าใจว่าคงจะให้สอดคล้องกับตำนานปาก เกี่ยวกับประวัติหมู่บ้าน ที่เล่าขานมานานแล้วก็ได้
จากตำนานคำบอกเล่าที่เป็นที่มาของ บ้านพระปืด
ตำนานที่ 1 นานมาแล้วมีชาวกวยบ้านจอมพระไปขุดเผือกขุดมันในป่าแล้วมีตัวอะไรมาเลียแผ่นหลัง ชาวบ้านคนนั้นตกใจจึงขว้างเสียมไปถูกสัตว์นั้นวิ่งหนีไป มองไวๆ เห็นเป็นกวางขนทอง (บ้างเล่าว่ามีกระดิ่งทองผูกคอด้วย) จึงวิ่งตามไป หว่าเห็นแต่รอยเลือด เมื่อแกะรอยไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายหมู่บ้าน (เช่นบ้าน ซแรออร์) จนใกล้เที่ยงจึงหยุดกินข้าว (ต่อมาได้ชื่อ “บ้านฉันเพล”) แล้วตามไปจนถึง “บ้านเมืองที” จากนั้นรอยเลือดนั้นก็หายไปบริเวณป่าแห่งหนึ่ง เขาก็ไม่ย่อท้อ สู้บุกฟันป่าเข้าไป ในที่สุดก็พบปราสาท เมื่อเห็นพระพุทธรูปที่อยู่ข้างใน เขาก็พลันร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เปรี๊ยะ! ปืดๆๆ” เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เขาเห็นเลือดซึมออกมาจากพระชงฆ์ (แข้ง) ขวา จึงเชื่อว่ากวางทองก็คือพระพุทธรูปองค์นี้นั่นเอง
เปรียะปืด เป็นภาษากวย แปลว่า พระใหญ่ เชื่อกันว่าคำอุทานของชาวกวยนี่เองคือที่มาของชื่อหมู่บ้านพระปืด
ตำนานที่ 2 เมื่อราว พ.ศ. 2300 “เชียงปุม” กับ “เชียงปืด” สองพี่น้องชาวกวยได้มาตั้งหมู่บ้านเมืองที ต่อมาเชียงปุมช่วยจับช้างเผือกส่งคืนให้กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา กระทั่งได้รับบำเหน็จเป็นเจ้าเมืองสุรินทร์คนแรก เมื่อหมู่บ้านเมืองทีมีคนหนาแน่นมากขึ้น ตาพรหม (สันนิษฐานว่าเป็นลูกของเชียงปืด) จึงนำครัวบางส่วนอพยพมาอยู่ที่บริเวณปราสาทพระปืด ซึ่งเป็นที่ตั้งชุมชนมาก่อนนั่นเอง ดังนั้นชุมชนปัจจุบันน่าจะสืบเนื่องมากจากคนรุ่นตาพรหม คะเนอายุน่าจะตกประมาณ 200-250 ปี เป็นอย่างต่ำ บ้านพระปืดจึงอาจจะมาจากชื่อ “เชียงปืด” อีกทางหนึ่งด้วย
กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจแหล่งเมืองโบราณบ้านพระปืด ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์. โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กองโบราณคดี กรมศิลปากร เล่ม 21/2526. (เอกสารอัดสำเนา), 2526.
กฤช เหลือลมัย. “เรื่องเก่าๆ ที่วัดพระปืด.” เมืองโบราณ 26, 1 (มกราคม-มีนาคม 2543) : 12-14.
ทิวา ศุภจรรยา. แหล่งชุมชนโบราณมรดกทางวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์. เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่องสุรินทร์มรดกโลกทางวัฒนธรรมในประเทศ วันที่ 3-5 พฤศจิกายน 2536. (เอกสารอัดสำเนา), 2536.
ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์. “การศึกษาพัฒนาการชุมชนโบราณบ้านพระปืด ตำบลบ้านแร่ กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2545.
สมบัติ พริ้งเพราะ. ประวัติหมู่บ้านพระปืด. สุรินทร์ : เอกสารประกอบการพัฒนาหมู่บ้าน สถาบันราชภัฏสุรินทร์, 2537.
สมมาตร์ ผลเกิด. “การศึกษาปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2529.
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา. บันทึกข้อความ ที่ ศธ.0708.16/พิเศษ วันที่ 7 พฤษภาคม 2541 เรื่องการตรวจและรับมอบโบราณวัถตุ. (เอกสารอัดสำเนา), 2541.
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา. รายงานประกอบการสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทแก้ว บ้านพระปืด ต.บ้านแร่ กิ่ง อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์. (เอกสารอัดสำเนา), 2545.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีบ้านฝาง ตำบลบ้านฝาง กิ่งอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย. เอกสารทางวาการลำดับที่ 1/2540 ของสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น, 2540.