คอกม้าท้าวบารส


โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020

ที่ตั้ง : อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

ตำบล : เมืองพาน

อำเภอ : บ้านผือ

จังหวัด : อุดรธานี

พิกัด DD : 17.728573 N, 102.355139 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : โขง, น้ำโมง

เขตลุ่มน้ำรอง : ห้วยหินลาด, ห้วยด่านใหญ่, ห้วยหินร่อง, ห้วยนางอุสา, ห้วยโคกขาด

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 เดินทางจากรุงเทพมหานครมายังจังหวัดอุดรธานีเป็นระยะทาง 564 กิโลเมตร ผ่านตัวเมืองอุดรธานีมุ่งหน้าไปทางจังหวัดหนองคาย  เลี้ยวซ้ายที่บริเวณหมู่บ้านนาข่าเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2021 อีก  67 กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

คอกม้าท้าวบารสตั้งอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงาม เปิดให้เข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. ภายในอุทยานมีสิ่งอำนวยความสะดวกคือ ศูนย์บริการข้อมูล หอประชุม ห้องสมุด บ้านพักรับรอง ห้องสุขา ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รถสี่ล้อพลังงานไฟฟ้า

อัตราค่าเข้าชม นักท่องเที่ยว ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท

การติดต่ออุทยานฯ : อุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 41160 โทรศัพท์ 042-219837, โทรสาร 042-219838, เว็บไซต์ http://www.finearts.go.th/phuphrabathistoricalpark/

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

กรมศิลปากร, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

การขึ้นทะเบียน

ไม่ขึ้นทะเบียน

ภูมิประเทศ

ภูเขา

สภาพทั่วไป

คอกม้าท้าวบารสเป็นโบราณสถานในกลุ่มวัดพ่อตา-ลูกเขย ซึ่งเป็นกลุ่มโบราณสถานในพื้นที่ราบสันเขาทางตอนเหนือของภูพระบาท พื้นที่โดยรอบโบราณสถานเป็นป่าไม้

สภาพของแหล่งเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยก้อนหินขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 8 เมตร สูงจากพื้น 1.8 เมตร ตั้งซ้อนทับอยู่บนลานหินที่ยกตัวสูงขึ้นคล้ายฐานขนาดใหญ่ โดยเพิงหินยื่นออกไปทางทิศใต้ (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 44)

จากลักษณะของเพิงหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ห้อง คือ ห้องทางทิศตะวันตก และห้องทางทิศตะวันออก โดยมีร่องรอยของการสกัดพื้นเป็นแนวของเสาเพื่อแบ่งแยกห้องออกจากกันอย่างชัดเจน (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 44)

ภูพระบาทเป็นภูเขาหินทรายลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งในเทือกเขาภูพานหรือภูพานคำ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 320-350 เมตร พื้นที่ทางทิศตะวันตกของภูมีลักษณะสูงชัน และลาดเทลงมาทางทิศตะวันออก

ภูพานหรือภูพานคำเป็นเทือกเขาหินทรายที่วางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ ทางตะวันตกของจังหวัดอุดรธานีและแอ่งสกลนคร

สภาพทั่วไปของภูพระบาทเป็นป่าโปร่ง มีพืชพรรณธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นอยู่ทั่วไป เช่น ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ชิงชัง ไม้ประดู่ ไม้เต็งรัง บนภูพระบาทปรากฏลานหินโล่งกว้าง โขดหิน และเพิงหินทรายกระจัดกระจายอยู่จำนวนมาก เกิดจากการกระทำของน้ำและลมต่อหินทราย

ด้วยเหตุที่มีไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุมค่อนข้างมาก ประกอบกับพืชพันธุ์ธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย ภูพระบาทจึงจัดอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขือน้ำ” เป็นแหล่งกำเนิดของลำธารหลายสาย เช่น ห้วยหินลาด ห้วยด่านใหญ่ ห้วยหินร่อง ห้วยนางอุสา และห้วยโคกขาด ซึ่งไหลลงไปทางทิศตะวันออกบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

บริเวณที่ราบรอบภูเขาส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกข้าวและมันสำปะหลัง หุบเขาทางทิศตะวันออกของภูพระบาทเป็นหุบเขาใหญ่ที่สุดมีลักษณะเป็นที่ราบลูกคลื่น พื้นที่ส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกข้าวและมันสำปะหลัง หุบเขานี้เรียกกันทั่วไปว่า หลุบพาน

ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

289 เมตร

ทางน้ำ

ห้วยหินลาด, ห้วยด่านใหญ่, ห้วยหินร่อง, ห้วยนางอุสา, ห้วยโคกขาด, ห้วยโมง, แม่น้ำโขง

สภาพธรณีวิทยา

ภูพระบาทเป็นเนินเขาหินทราย ในแนวเทือกเขาภูพานน้อย บริเวณขอบที่ราบสูงด้านตะวันตกของอุดรธานี หินทรายมีสีขาว ส้ม เนื้อปนกรวด เม็ดกรวดประกอบด้วยควอตซ์ เชิร์ต หินทรายแป้งสีแดง หินอัคนีบางชนิด มีรอยชั้นขวาง มีหินดินดานและหินกรวดมนแทรกสลับ อยู่ในหน่วยหินภูพาน ชุดโคราช อยู่ช่วงล่าง-ช่วงกลางครีเตเชียส หรือประมาณ 90-140 ล้านปีมาแล้ว หินทรายในพื้นที่มีลักษณะโดดเด่นทางด้านธรณีวิทยา เนื่องจากมีคุณสมบัติแตกต่างกันในแต่ละชั้น และได้ผ่านกระบวนการกัดกร่อนทางธรณีวิทยาโดยน้ำและลม ทำให้ได้ลักษณะธรณีสัณฐานที่แปลกตาหลายบริเวณ เช่น หอนางอุษา ถ้ำช้าง หีบศพพ่อตา หีบศพท้าวบารส หีบศพนางอุษา วัดพ่อตา ถ้ำพระ กู่นางอุษา บ่อน้ำนางอุสา เพิงหินนกกระทา พร้อมทั้งพบลักษณะทางธรณีวิทยากายภาพและธรณีโครงสร้างในหินทราย ซึ่งเป็นหินชั้นหรือหินตะกอนที่ชัดเจน เช่นการแสดงชั้นแทรกสลับกับชั้นกรวด การแสดงชั้นวางเฉียงระดับที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการไหลของน้ำ (กรมทรัพยากรธรณี 2552 : 38-39)

ลักษณะรูปร่างต่างๆ เกิดจากชั้นหินทราย และหินทรายปนกรวด มีเนื้อแตกต่างกัน ชั้นหินที่มีความคงทนสูงจะยื่นออกเป็นเพิงหิน หรือเป็นชั้นหินทับอยู่ข้างบน ส่วนชั้นหินที่มีความคงทนน้อยกว่าจะกร่อนหายไป หรือถูกกัดเซาะผุพังเป็นโพรง หรือเป็นส่วนคอดเว้าอยู่ใต้ชั้นหินแข็ง กลายเป็นเพิงหิน หรือผาหิน เช่นหอนางอุษา เป็นต้น 

ยุคทางโบราณคดี

ยุคก่อนประวัติศาสตร์, ยุคประวัติศาสตร์

สมัย/วัฒนธรรม

สมัยโลหะ, สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย

อายุทางโบราณคดี

ประมาณ 3,000-2,500 ปีมาแล้ว, พุทธศตวรรษที่ 14-16 (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 47)

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : สุมิตร ปิติพัฒน์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2517, พ.ศ.2518, พ.ศ.2519

วิธีศึกษา : สำรวจ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ธรรมศาสตร์

ผลการศึกษา :

แผนกอิสระสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดยอาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ ได้จัดโครงการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อศึกษาชีวิตของคนในสังคม ศิลปะพื้นบ้าน และโบราณสถาน ที่ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และได้สำรวจโบราณสถานบนภูพระบาท เก็บและบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด และเผยแพร่ใน พ.ศ.2520 โดยอาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ (2520 : 13-14) ได้พรรณนาสภาพพื้นที่และสภาพโบราณสถานอย่างละเอียด พร้อมทั้งสันนิษฐานถึงหน้าที่ใช้งานของเพิงหินนี้ว่าน่าจะใช้เป็นที่พักอาศัยของคนมานานแล้ว และใช้เป็นที่พักอาศัยของสงฆ์ในยุคประวัติศาสตร์ โดยมีคอกม้าน้อยที่อยู่ไม่ไกลกันเป็นอุโบสถที่ประกอบพิธีกรรมในพุทธศาสนา

ชื่อผู้ศึกษา : พเยาว์ เข็มนาค, มนต์จันทร์ น้ำทิพย์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2533

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

เผยแพร่ผลการศึกษาโบราณสถานในภูพระบาทและบ้านผือ

ชื่อผู้ศึกษา : พิทักษ์ชัย จัตุชัย

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2553

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

พิทักษ์ชัย จัตุชัย เสนอวิทยานิพนธ์เรื่อง “การวิเคราะห์การใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี : จากหลักฐานทางโบราณคดี” เพื่อสำเร็จปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยศิลปากร

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

ศาสนสถาน

สาระสำคัญทางโบราณคดี

คอกม้าท้าวบารสมีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยก้อนหินขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 8 เมตร สูงจากพื้น 1.8 เมตร ตั้งซ้อนทับอยู่บนลานหินที่ยกตัวสูงขึ้นคล้ายฐานขนาดใหญ่ โดยเพิงหินยื่นออกไปทางทิศใต้ (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 44)

จากลักษณะของเพิงหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ห้อง คือ ห้องทางทิศตะวันตก และห้องทางทิศตะวันออก โดยมีร่องรอยของการสกัดพื้นเป็นแนวของเสาเพื่อแบ่งแยกห้องออกจากกันอย่างชัดเจน มีรายละเอียดดังนี้ (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 44-46)

ห้องทางทิศตะวันตก เป็นห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 4.9 เมตร ยาว 5.2 เมตร สูง 1.85 เมตร โดยมีการสกัดตกแต่งบริเวณพื้นและผนังให้มีลักษณะเป็นห้อง และสกัดให้มีขอบหินโดยรอบเพิงหิน และยังมีการแบ่งห้องออกเป็น 2 ส่วน โดยการสกัดพื้นให้เป็นพื้นเรียบต่างระดับกัน ซึ่งทางด้านซ้ายของห้องสูงกว่าส่วนทางด้านขวา 0.3 เมตร นอกจากนี้บริเวณที่เป็นขอบเพิงหินสูง 0.1 เมตร และหนา 0.4 เมตร ยังมีร่องรอยของการสกัดเพื่อประโยชน์ในการวางเสาไม้ที่ค้ำยันระหว่างพื้นกับเพิงหินหรือส่วนของกำแพงล้อมรอบเพิงหิน

ห้องทางทิศตะวันออก เป็นห้องรูปครึ่งวงกลมมีขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 3.3 เมตร มีการสกัดตกแต่งพื้นและผนังให้เรียบ แต่ปัจจุบันพื้นได้เสื่อมสภาพไปมากแล้ว

พิทักษ์ชัย จัตุชัย (2553 : 46) สันนิษฐานว่าจากลักษณะของแหล่งที่เป็นเพิงหินที่มีการดัดแปลงโดยแบ่งเพิงหินออกเป็น 2 ห้อง มีทางที่เชื่อมต่อถึงกัน โดยห้องทางด้านทิศตะวันตกมีขนาดใหญ่ มีการสกัดพื้นและผนังจนเรียบ และมีการปรับพื้นให้เป็น 2 ระดับ ซึ่งน่าจะเป็นการดัดแปลงเพิงหินเพื่อการใช้ประโยชน์เป็นที่พักของพระภิกษุหรือผู้บำเพ็ญเพียร นอกจากนี้ขอบของเพิงหินด้านทิศตะวันตกยังมีร่องรอยของการสกัดให้เป็นร่องเพื่อทำเป็นรั้วล้อมรอบห้องอีกด้วย

ส่วนทางด้านทิศตะวันออก เป็นห้องเปิดโล่งที่มีการสกัดพื้นและผนังจนเรียบ ซึ่งน่าจะมีการใช้ประโยชน์เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปหรือรูปเคารพในทางพระพุทธศาสนา (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 46)

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงการใช้งานของเพิงหินคอกม้าท้าวบารสแล้ว จึงอาจสันนิษฐานได้ว่ามีการใช้งานเป็นอย่างกุฏิ หรือเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของพระภิกษุหรือผู้บำเพ็ญเพียร (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 46)

อาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ (2520 : 12-13) สันนิษฐานว่าจากสภาพเพิงหินที่มีการตกแต่งและมีร่องรอยเขม่าไฟบนเพดานเพิงหิน น่าจะถูกใช้เป็นที่พักอาศัยของคนมานานแล้ว

ตามนิทานอุสา-บารสกล่าวว่า ท้าวบารสได้นำม้ามาผูกไว้ที่แห่งนี้ แล้วจึงแอบเข้าไปหานางอุสาที่หอนางอุสา (พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์ 2533 : 45)

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

เพลงเมธา ขาวหนูนา, ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล

บรรณานุกรม

กรมทรัพยากรธรณี. การจำแนกเขตเพื่อการจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี จังหวัดอุดรธานี. กรุงเทพฯ : กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2552.

กรมศิลปากร. ระบบฐานข้อมูลแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมและระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม. (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2559. แหล่งที่มา http://www.gis.finearts.go.th/gisweb/viewer.aspx

กองโบราณคดี. แหล่งโบราณคดีประเทศไทย เล่ม 3. เอกสารกองโบราณคดีหมายเลข 11/2532. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2532ก.

กองโบราณคดี. ศิลปะถ้ำในอีสาน กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2532ข.

กองโบราณคดี. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2535.

กองโบราณคดี. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2537.

ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2542.

บังอร กรโกวิท. “ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อำเภอบ้านผือ.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2519.

พเยาว์ เข็มนาค. ศิลปะถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2539.

พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์. ศิลปะถ้ำ “กลุ่มบ้านผือ” จังหวัดอุดรธานี. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2533.

พัชรี สาริกบุตร. “เพิงหินข้างบ่อน้ำนางอุษา.” ภาพเขียนสีและภาพสลัก : ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. (ออนไลน์), 2543. เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2559. แหล่งที่มา http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/index.html

พิทักษ์ชัย จัตุชัย. “การวิเคราะห์การใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี : จากหลักฐานทางโบราณคดี.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553.

สถาพร ขวัญยืน และคณะ. ศิลปะบนผนังหิน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี. กรุงเทพฯ : โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2528.

สมัย สุทธิธรรม. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ 1999 จำกัด, 2546.

สุมิตร ปิติพัฒน์. บ้านผือ ร่องรอยจากอดีต. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2520.

สุรีรัตน์ บุบผา. “การศึกษาเปรียบเทียบแหล่งศิลปะถ้ำระหว่างกลุ่มผาแต้มกับกลุ่มบ้านผือ.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2539.

อรุณศักดิ์ กิ่งมณี และคณะ. ภูพระบาท : อดีตกาลผสานธรรมชาติ. เอกสารประกอบการอบรมยุวมัคคุเทศก์ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (พ.ศ. 2543) ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 13-15 มี.ค. 2543. อุดรธานี : อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น, 2543.

อรุณศักดิ์ กิ่งมณี และคณะ. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อุดรธานี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2542.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี