ถ้ำคน


โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020

ชื่ออื่น : ถ้ำวัว-ถ้ำคน, ถ้ำคนและสัตว์

ที่ตั้ง : อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ

ตำบล : เมืองพาน

อำเภอ : บ้านผือ

จังหวัด : อุดรธานี

พิกัด DD : 17.728838 N, 102.354409 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : โขง, น้ำโมง

เขตลุ่มน้ำรอง : ห้วยหินลาด, ห้วยด่านใหญ่, ห้วยหินร่อง, ห้วยนางอุสา, ห้วยโคกขาด

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 เดินทางจากรุงเทพมหานครมายังจังหวัดอุดรธานีเป็นระยะทาง 564 กิโลเมตร ผ่านตัวเมืองอุดรธานีมุ่งหน้าไปทางจังหวัดหนองคาย  เลี้ยวซ้ายที่บริเวณหมู่บ้านนาข่าเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2021 อีก  67 กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

ถ้ำคนตั้งอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงาม เปิดให้เข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. ภายในอุทยานมีสิ่งอำนวยความสะดวกคือ ศูนย์บริการข้อมูล หอประชุม ห้องสมุด บ้านพักรับรอง ห้องสุขา ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รถสี่ล้อพลังงานไฟฟ้า

อัตราค่าเข้าชม นักท่องเที่ยว ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท

การติดต่ออุทยานฯ : อุทยานประวัติศาสตร์ ภูพระบาท ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 41160 โทรศัพท์ 042-219837, โทรสาร 042-219838, เว็บไซต์ http://www.finearts.go.th/phuphrabathistoricalpark

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

กรมศิลปากร, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

การขึ้นทะเบียน

ไม่ขึ้นทะเบียน

ภูมิประเทศ

ภูเขา

สภาพทั่วไป

ถ้ำคนเป็นเพิงหินเดียวกับถ้ำวัว โบราณสถานในกลุ่มวัดพ่อตา-ลูกเขย ซึ่งเป็นกลุ่มโบราณสถานในพื้นที่ราบสันเขาทางตอนเหนือของภูพระบาท พื้นที่โดยรอบโบราณสถานเป็นป่าไม้

สภาพของแหล่งเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยก้อนหินขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 11 เมตร และสูงจากพื้น 3 เมตร ตั้งซ้อนทับอยู่บนกองหินขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งเป็นเพิงหินที่ถล่มลงมา โดยเพิงหินยื่นออกไปทางด้านทิศเหนือ (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 56) มีเพิงหินรอบด้านที่เกิดจากการแยกตัวของเพิงหิน ทำให้เกิดเป็นเพิงหินรอบด้านที่และหลืบหิน ภาพเขียนที่พบอยู่เป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “ถ้ำคน” ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียก “ถ้ำวัว” (กองโบราณคดี 2532ก ; 175) และด้านทิศใต้พบร่องรอยของการสกัดหินเข้าไปเป็นแท่นคล้ายฐานพระพุทธรูป (พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์ 2533 : 45)

ภูพระบาทเป็นภูเขาหินทรายลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งในเทือกเขาภูพานหรือภูพานคำ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยประมาณ 320-350 เมตร พื้นที่ทางทิศตะวันตกของภูมีลักษณะสูงชัน และลาดเทลงมาทางทิศตะวันออก

ภูพานหรือภูพานคำเป็นเทือกเขาหินทรายที่วางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ ทางตะวันตกของจังหวัดอุดรธานีและแอ่งสกลนคร

สภาพทั่วไปของภูพระบาทเป็นป่าโปร่ง มีพืชพรรณธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นอยู่ทั่วไป เช่น ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ชิงชัง ไม้ประดู่ ไม้เต็งรัง บนภูพระบาทปรากฏลานหินโล่งกว้าง โขดหิน และเพิงหินทรายกระจัดกระจายอยู่จำนวนมาก เกิดจากการกระทำของน้ำและลมต่อหินทราย

ด้วยเหตุที่มีไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุมค่อนข้างมาก ประกอบกับพืชพันธุ์ธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย ภูพระบาทจึงจัดอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขือน้ำ” เป็นแหล่งกำเนิดของลำธารหลายสาย เช่น ห้วยหินลาด ห้วยด่านใหญ่ ห้วยหินร่อง ห้วยนางอุสา และห้วยโคกขาด ซึ่งไหลลงไปทางทิศตะวันออกบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

บริเวณที่ราบรอบภูเขาส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกข้าวและมันสำปะหลัง หุบเขาทางทิศตะวันออกของภูพระบาทเป็นหุบเขาใหญ่ที่สุดมีลักษณะเป็นที่ราบลูกคลื่น พื้นที่ส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกข้าวและมันสำปะหลัง หุบเขานี้เรียกกันทั่วไปว่า หลุบพาน

ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

300 เมตร

ทางน้ำ

ห้วยหินลาด, ห้วยด่านใหญ่, ห้วยหินร่อง, ห้วยนางอุสา, ห้วยโคกขาด, ห้วยโมง, แม่น้ำโขง

สภาพธรณีวิทยา

ภูพระบาทเป็นเนินเขาหินทราย ในแนวเทือกเขาภูพานน้อย บริเวณขอบที่ราบสูงด้านตะวันตกของอุดรธานี หินทรายมีสีขาว ส้ม เนื้อปนกรวด เม็ดกรวดประกอบด้วยควอตซ์ เชิร์ต หินทรายแป้งสีแดง หินอัคนีบางชนิด มีรอยชั้นขวาง มีหินดินดานและหินกรวดมนแทรกสลับ อยู่ในหน่วยหินภูพาน ชุดโคราช อยู่ช่วงล่าง-ช่วงกลางครีเตเชียส หรือประมาณ 90-140 ล้านปีมาแล้ว หินทรายในพื้นที่มีลักษณะโดดเด่นทางด้านธรณีวิทยา เนื่องจากมีคุณสมบัติแตกต่างกันในแต่ละชั้น และได้ผ่านกระบวนการกัดกร่อนทางธรณีวิทยาโดยน้ำและลม ทำให้ได้ลักษณะธรณีสัณฐานที่แปลกตาหลายบริเวณ เช่น หอนางอุษา ถ้ำช้าง หีบศพพ่อตา หีบศพท้าวบารส หีบศพนางอุษา วัดพ่อตา ถ้ำพระ กู่นางอุษา บ่อน้ำนางอุสา เพิงหินนกกระทา พร้อมทั้งพบลักษณะทางธรณีวิทยากายภาพและธรณีโครงสร้างในหินทราย ซึ่งเป็นหินชั้นหรือหินตะกอนที่ชัดเจน เช่นการแสดงชั้นแทรกสลับกับชั้นกรวด การแสดงชั้นวางเฉียงระดับที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการไหลของน้ำ (กรมทรัพยากรธรณี 2552 : 38-39)

ลักษณะรูปร่างต่างๆ เกิดจากชั้นหินทราย และหินทรายปนกรวด มีเนื้อแตกต่างกัน ชั้นหินที่มีความคงทนสูงจะยื่นออกเป็นเพิงหิน หรือเป็นชั้นหินทับอยู่ข้างบน ส่วนชั้นหินที่มีความคงทนน้อยกว่าจะกร่อนหายไป หรือถูกกัดเซาะผุพังเป็นโพรง หรือเป็นส่วนคอดเว้าอยู่ใต้ชั้นหินแข็ง กลายเป็นเพิงหิน หรือผาหิน เช่นหอนางอุษา เป็นต้น

ยุคทางโบราณคดี

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

สมัย/วัฒนธรรม

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย

อายุทางโบราณคดี

ประมาณ 3,000-2,500 ปีมาแล้ว (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 58)

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2517

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

สำรวจพบครั้งแรกใน พ.ศ.2517 พร้อมกับถ้ำวัว โดยเจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ 7 ประจำวัดพระพุทธบาทบัวบก และมีการสำรวจอีกครั้งใน พ.ศ.2527 โดยโครงการโบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สถาพร ขวัญยืน และคณะ 2528 : 21-25)

ชื่อผู้ศึกษา : สุมิตร ปิติพัฒน์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2517, พ.ศ.2518, พ.ศ.2519

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ธรรมศาสตร์

ผลการศึกษา :

แผนกอิสระสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดยอาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ ได้จัดโครงการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อศึกษาชีวิตของคนในสังคม ศิลปะพื้นบ้าน และโบราณสถาน ที่ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และได้สำรวจโบราณสถานบนภูพระบาท เก็บและบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด และเผยแพร่ใน พ.ศ.2520 โดยอาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ (2520 : 41-43) ระบุว่า “ถ้ำคนและถ้ำสัตว์” ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ.2516 ปรากฏภาพเขียนสีที่ผนังเพิงหิน พร้อมกับศึกษาสภาพโบราณสถานอย่างละเอียด และสันนิษฐานว่าภาพเขียนเหล่านี้อาจเขียนขี้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์หรือความเชื่อบางอย่าง ส่วนถ้ำอาจเป็นทั้งที่ประกอบพิธีกรรมและอยู่อาศัย

ชื่อผู้ศึกษา : โครงการโบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2523, พ.ศ.2527

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

โครงการโบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมศิลปากร สำรวจเก็บข้อมูลเมื่อ พ.ศ.2523 และ พ.ศ.2527 โดยสถาพร ขวัญยืน และคณะ (กองโบราณคดี 2532ก : 174-175 ; สถาพร ขวัญยืน และคณะ 2528 : 21)

ชื่อผู้ศึกษา : สถาพร ขวัญยืน

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2528

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

สถาพร ขวัญยืน และคณะ (2528) โดยโครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เผยแพร่ผลการศึกษา “ศิลปะบนผนังหิน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี”

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2533

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

กองโบราณคดี กรมศิลปากร เผยแพร่ผลการศึกษาศิลปะถ้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมถึงที่ภูพระบาท (กองโบราณคดี 2532ก)

ชื่อผู้ศึกษา : พเยาว์ เข็มนาค, มนต์จันทร์ น้ำทิพย์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2533

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

เผยแพร่ผลการศึกษาโบราณสถานในภูพระบาทและบ้านผือ

ชื่อผู้ศึกษา : พเยาว์ เข็มนาค

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2539

วิธีศึกษา : ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

เผยแพร่ผลการศึกษาศิลปะถ้ำก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย รวมถึงที่ถ้ำคน

ชื่อผู้ศึกษา : สุรีรัตน์ บุบผา

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2539

วิธีศึกษา : ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

สุรีรัตน์ บุบผา (2539) เสนอสารนิพนธ์เรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบแหล่งศิลปะถ้ำระหว่างกลุ่มผาแต้มกับกลุ่มบ้านผือ” ต่อคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร

ชื่อผู้ศึกษา : พัชรี สาริกบุตร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2543

วิธีศึกษา : ศึกษาศิลปะถ้ำ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

ผศ.พัชรี สาริกบุตร คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร รวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์ตีความภาพเขียนสีและภาพสลักยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในประเทศไทย รวมทั้งภาพเขียนสีถ้ำคน

ชื่อผู้ศึกษา : พิทักษ์ชัย จัตุชัย

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2553

วิธีศึกษา : สำรวจ, ศึกษาศิลปะถ้ำ, ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

พิทักษ์ชัย จัตุชัย เสนอวิทยานิพนธ์เรื่อง “การวิเคราะห์การใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี : จากหลักฐานทางโบราณคดี” เพื่อสำเร็จปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยศิลปากร

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

ศาสนสถาน, แหล่งศิลปะถ้ำ

สาระสำคัญทางโบราณคดี

ถ้ำคนเป็นเพิงหินเดียวกับแหล่งภาพเขียนสีถ้ำวัว โดยสภาพของแหล่งเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยก้อนหินขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 11 เมตร และสูงจากพื้น 3 เมตร ตั้งซ้อนทับอยู่บนกองหินขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งเป็นเพิงหินที่ถล่มลงมา โดยเพิงหินยื่นออกไปทางด้านทิศเหนือ (พิทักษ์ชัย จัตุชัย 2553 : 56) มีเพิงหินรอบด้านที่เกิดจากการแยกตัวของเพิงหิน ทำให้เกิดเป็นเพิงหินรอบด้านที่และหลืบหิน ภาพเขียนที่พบอยู่เป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “ถ้ำคน” ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียก “ถ้ำวัว” (กองโบราณคดี 2532ก ; 175) และด้านทิศใต้พบร่องรอยของการสกัดหินเข้าไปเป็นแท่นคล้ายฐานพระพุทธรูป (พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์ 2533 : 45)

สำหรับชื่อแหล่งได้มาจากภาพที่เขียนไว้บนผนังหิน พบภาพเขียนอยู่บนผนังและเพดานหิน ภาพที่เด่นและเห็นชัดเจนที่สุดคือกลุ่มแถวภาพคนที่เขียนอยู่บนผนังหินขนาดสูง 1.5 เมตร ยาว 4 เมตร เป็นรูปคน 7 คน เดิมเป็นแถวไปทางทิศตะวันออก เขียนด้วยสีแดงคล้ำ เป็นภาพแบบเงาทึบ 5 คน แบบโครงร่าง 2 คน รูปคนทั้ง 7 นี้มีลักษณะเด่นคือไหล่กว้าง ขาสั้นกว่าลำตัว น่องโต ไม่มีหู ตา จมูก ปาก และเครื่องนุ่งห่ม (พเยาว์ เข็มนาค 2539 : 140-141)

            คนที่ 1 คือคนนำหน้า สูง 95 เซนติเมตร ยืนกางแบน ขา หันหลายเท้าออก มือซ้ายและมือขวาเห็นนิ้วชัดเจนครบ 5 นิ้วทั้ง 2 มือ

            คนที่ 2 สูง 110 เซนติเมตร หัวหน้าไปทางทิศตะวันออก เขียนให้เห็นด้านข้าง แขนขวายกขึ้นไปข้างหน้า ไม่มีปลายแขน ส่วนแขนซ้ายทิ้งไปข้างหลังเกาะกับแขนคนที่ 3 ก้าวเท้าซ้ายออกไปอยู่ในท่ากำลังเดิน

            คนที่ 3 สูง 90 เซนติเมตร ไว้ผมยาวแค่คอ ตรงปลายงอน ยืนในท่ากางขา มือขวาเกาะกับมือซ้ายของคนที่ 2 เห็นนิ้วทั้ง 5 ชัดเจน ส่วนมือซ้ายวางไว้ที่เอว

            คนที่ 4 สูง 90 เซนติเมตร ยืนกางขาเช่นกัน ตรงหว่างขาเขียนรูปทรงกระบอกคล้ายอวัยวะเพศชาย มือขวาอยู่ที่หัวเข่าของคนที่ 3 มือซ้ายยื่นออกไปจับเข่าคนที่ 5 ภาพนี้เขียนให้เห็นหน้าตรง

            คนที่ 5 สูง 93 เซนติเมตร เขียนให้เห็นด้านข้าง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก้าวขาขวาออกไปอยู่ที่มือซ้ายของคนที่ 4 ช่วงอกยื่นออกมาคล้ายนมผู้หญิง มีสีจางๆ ทาบอยู่ข้างบน คล้ายคนกำลังหามสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งอาจเป็นสัตว์ก็ได้

            คนที่ 6 สูง 79 เซนติเมตร เขียนเป็นรูปโครงร่างภายนอกด้านข้าง อยู่ในท่ากำลังเดินโดยก้าวเท้าขวาออกไป ส่วนเท้าซ้ายยืนตรง ส่วนหัวมีรอยคล้ายผม แขนขวามองไม่เห็น แขนซ้ายทอดยาวออกไปข้างหลังตรงเอวของคนที่ 7

            คนที่ 7 สูง 90 เซนติเมตร เขียนเป็นเส้นโครงร่างภายนอกเหมือนคนที่ 6 ยืนในท่ากางขาเอี้ยวตัวไปทางทิศตะวันออก มือขวาไม่เห็น มือซ้ายเกาะแขนคนที่ 6 ส่วนหัวสรลบเลทอนลงไปมากหรืออาจจะเขียนไม่เสร็จก็เป็นได้ จึงเห็นอยู่เพียงครึ่งเดียว มองไม่ออกว่าหัวหน้าไปทางทิศใด

ภาพคนทั้ง 7 คนนี้เขียนเป็นแถวยาวเดินเป็นขบวนกันไปลักษณะเป็นหมู่คณะ มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน บอกพฤติกรรมร่วมกันในทางใดทางหนึ่ง (พเยาว์ เข็มนาค 2539 : 141)

นอกจากนี้ยังมีภาพลายเส้นสีแดงโยงไปมาตรงคนที่ 1 และคนที่ 2 เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วพบว่าเป็นลายเส้นที่เขียนขึ้นก่อน ต่อมาภายหลังจึงมีภาพคนเขียนทับลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่อกัน เขียนด้วยสีขาวทับลงไปบนรูปคนอีกครั้ง โดยพิจารณาจากรูปคนที่ 5 จะเห็นสีขาวทับอยู่บนหัว แสดงว่าผนังรูปคนนี้ใช้เป็นที่เขียนภาพมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง เวลาจะต่างกันมากน้อยเพียงใดมิอาจทราบได้ ตรงเพดานหินเหนือหัวของคนที่ 5 มีภาพลายเส้นเขียนคล้ายรูปตุ๊กแก เส้นหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร เดินเส้นข้างในล้อไปกับเส้นโครงนอก สูง 11 เซนติเมตร กว้าง 10 เซนติเมตร เป็นภาพที่เขียนอยู่เดี่ยวๆ กลางเพดานหินที่ยื่นออกไปมีภาพคนเขียนด้วยสีแดงคล้ำ ข้างๆ มีลายเส้นเขียนด้วยสีแดงเช่นกัน เป็นภาพลายเส้นคู่ขนาน ห่างจากภาพคนนี้ไปทางทิศตะวันตกมีภาพคนอีก 2 คน เขียนด้วยสีแดงเหมือนกัน มีภาพลายเส้นคู่ขนานเขียนด้วยสีขาวอยู่ข้างหน้าด้วย คนแรกเขียนแบบเงาทึบ เน้นให้เห็นกล้ามเนื้อโดยเฉพาะน่องโต หัวขาดหายไปเหลือเพียงส่วนคาง อยู่ในท่ากำลังเดิน มีอขวายกข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว มือซ้ายทอดยาวไปข้างหลัง เป็นลักษณะของคนเดินแกว่งแขน ส่วนที่ 2 อยู่ด้านหลัง เขียนแบบเส้นโครงร่างภายนอก จากน่องลงไปถึงเท้าระบายสีทึบ หันหน้าไปทางภาพแรก มีขาข้างเดียว แขนและหัวไม่มี คล้ายเขียนยังเสร็จ ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของเพดานหินนี้มีภาพลายเส้นคล้ายรูปสามเหลี่ยมไม่มีฐานต่อกันในแนวตั้ง ความหนาของเส้นแต่ละเส้นไม่เสมอกัน กล่าวคือส่วนที่หนาที่สุดประมาณ 1 เซนติเมตร และเล็กลงไปเรื่อยๆ จนถึงปลายเส้นแต่ละเส้น (พเยาว์ เข็มนาค 2539 : 141)

ลักษณะทั่วไปภายในเพิงหินถ้ำ คนนี้เป็นเพิงหินที่มมีแสงสว่างพอดี คือไม่มืดหรือสว่างไป ไม่อับทึบ อากาศถ่ายเทดี คุ้มได้ทั้งแดดและฝน เหมาะสำหรับเป็นที่พักชั่วคราว (พเยาว์ เข็มนาค 2539 : 141)

พิทักษ์ชัย จัตุชัย (2553 : 58) ระบุว่าภาพเขียนสีที่ถ้ำคนนี้ เป็นภาพของกลุ่มคน เน้นให้เห็นถึงเค้าโครงทางสรีระ ซึ่งทำให้ทราบว่ากลุ่มคนที่ใช้กำลังขามาก นอกจากจะเน้นสรีระของกลุ่มแล้ว ยังแสดงถึงอิริยาบถของแต่ละคนในภาพด้วย (สถาพร ขวัญยืน และคณะ 2528 : 22) และนอกจากนี้ในภาพบางภาพยังเขียนอวัยวะบ่งบอกไว้อีกด้วย (พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์ 2533 : 52) และเมื่อพิจารณาถึงภาพคนและภาพสัตว์ (ถ้ำวัว) ที่พบอยู่ใกล้เคียงกัน มีลักษณะเป็นธรรมชาติคล้ายจริงมาก ทำให้คิดได้ว่าผู้เขียนภาพอาจเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์หรือความเชื่อถือบางอย่าง เพราะถ้ำมีขนาดใหญ่ อาจมีความเหมาะสมกับการใช้ประกอบพิธีกรรมในสมัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย

เช่นเดียวกับอาจารย์สุมิตร ปิติพัฒน์ (2520 : 41-43) ที่ระบุว่าภาพเขียนสีที่ “ถ้ำคนและถ้ำสัตว์” อาจเขียนขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์หรือความเชื่อบางอย่าง ส่วนถ้ำอาจเป็นทั้งสถานที่ประกอบพิธีกรรมและอยู่อาศัย เนื่องจากถ้ำมีขนาดใหญ่ สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย

ผศ.พัชรี สาริกบุตร (2543) ระบุว่าทั้งภาพวัวและภาพคนของถ้ำวัวและถ้ำคนนั้น พยายามเขียนให้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุดโดยเฉพาะการเน้นกล้ามเนื้อที่น่องและแขนของภาพคน และโหนกนูนบนหลังของภาพวัว ภาพเหล่านั้นบ่งบอกถึงความสัมพันธ์กันภายในแต่ละกลุ่มในการทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน ความเกี่ยวพันกันในกลุ่มคน คนกับวัว คนกับลายเส้นสัญลักษณ์สีขาว ภาพวัวที่มีขนาดไม่เท่ากันอาจหมายถึงฝูงวัวที่มีทั้งตัวผู้ ตัวเมียและลูกวัว ภาพเหล่านี้อาจหมายถึงภาพการล่าสัตว์ หรือการเลี้ยงสัตว์ก็ได้ หรืออาจหมายถึงการเดินทางร่วมกันไปทำกิจกรรมหรือพิธีกรรมบางอย่างก็ได้

คนโบราณได้นำเอาถ้ำคนไปผูกกับนิทานอุสา-บารส (อาจเนื่องจากเมื่อก่อนพบภาพเขียนรูปคนเฉพาะที่ถ้ำคนแห่งนี้) ดังนี้ “ครั้นเมื่อท้าวบารสแห่งเมืองพะโค (เวียงคุก) ได้แอบมาสมสู่กับนางอุษาแล้วก็จากไปยังเมืองของตน นางอุษานั้นก็ได้แต่โศกเศร้า” ตามนิทานนี้ อาจารย์คำห่วงนำมาจากเมืองปากขัน แขวงเวียงจันทน์ กล่าวถึงว่า “ทั้งสองต้องมนต์สะกดของเทพยดาจึงไม่ทราบชื่อและเมืองของกันและกัน เมื่อนางสามัญญะเห็นนางอุษาเศร้าโศกมิได้สร่างหาย นางก็เขียนรูปเจ้าชายเมืองต่างๆ ให้นางอุษาดู จนกระทั่งนางเขียนรูปท้าวบารสแล้วนางก็บอกว่าท้าวบารสนั้นอยู่ที่เมืองพะโค นางอุษาจึงทราบเมืองของท้าวบารส” (พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์ 2533 : 45)

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

เพลงเมธา ขาวหนูนา, ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล

บรรณานุกรม

กรมทรัพยากรธรณี. การจำแนกเขตเพื่อการจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี จังหวัดอุดรธานี. กรุงเทพฯ : กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2552.

กรมศิลปากร. ระบบฐานข้อมูลแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมและระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม. (ออนไลน์) เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2559. แหล่งที่มา http://www.gis.finearts.go.th/gisweb/viewer.aspx

กองโบราณคดี. แหล่งโบราณคดีประเทศไทย เล่ม 3. เอกสารกองโบราณคดีหมายเลข 11/2532. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2532ก.

กองโบราณคดี. ศิลปะถ้ำในอีสาน กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2532ข.

กองโบราณคดี. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2535.

กองโบราณคดี. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2537.

ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2542.

บังอร กรโกวิท. “ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อำเภอบ้านผือ.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2519.

พเยาว์ เข็มนาค. ศิลปะถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2539.

พเยาว์ เข็มนาค และมนต์จันทร์ น้ำทิพย์. ศิลปะถ้ำ “กลุ่มบ้านผือ” จังหวัดอุดรธานี. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2533.

พัชรี สาริกบุตร. “ถ้ำวัว-ถ้ำคน.” ภาพเขียนสีและภาพสลัก : ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. (ออนไลน์), 2543. เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2559. แหล่งที่มา http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/index.html

พิทักษ์ชัย จัตุชัย. “การวิเคราะห์การใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี : จากหลักฐานทางโบราณคดี.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553.

สถาพร ขวัญยืน และคณะ. ศิลปะบนผนังหิน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี. กรุงเทพฯ : โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2528.

สมัย สุทธิธรรม. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ 1999 จำกัด, 2546.

สุมิตร ปิติพัฒน์. บ้านผือ ร่องรอยจากอดีต. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2520.

สุรีรัตน์ บุบผา. “การศึกษาเปรียบเทียบแหล่งศิลปะถ้ำระหว่างกลุ่มผาแต้มกับกลุ่มบ้านผือ.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2539.

อรุณศักดิ์ กิ่งมณี และคณะ. ภูพระบาท : อดีตกาลผสานธรรมชาติ. เอกสารประกอบการอบรมยุวมัคคุเทศก์ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (พ.ศ. 2543) ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี 13-15 มี.ค. 2543. อุดรธานี : อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น, 2543.

อรุณศักดิ์ กิ่งมณี และคณะ. อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อุดรธานี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2542.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี