วัดชลธาราสิงเห


โพสต์เมื่อ 20 ก.ย. 2021

ชื่ออื่น : วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย, วัดท่าพรุ, วัดเจ๊ะเห

ที่ตั้ง : ม.3 บ้านท่าพรุ ถนนสมานธาตุวิสุทธิ์ ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ

ตำบล : เจ๊ะเห

อำเภอ : ตากใบ

จังหวัด : นราธิวาส

พิกัด DD : 6.262404 N, 102.050316 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : ตากใบ

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

เดินทางจากอำเภอเมืองสู่อำเภอตากใบตามเส้นทางสายนราธิวาส-ตากใบ (ทางหลวงหมายเลข 4048) ถึงสี่แยกตลาดอำเภอตากใบ เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 100 เมตร จะถึงปากทางเข้าวัดไปเยี่ยมชมได้ในเวลาราชการ โดยไม่เสียค่าเข้าชม ทั้งนี้หากต้องการเข้าชมจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ ควรติดต่อขอเข้าชมกับทางวัดก่อน

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

ปัจจุบันวัดชลธาราสิงเหเป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอตากใบ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเหบนกุฏิสิทธิสารประดิษฐ์เพื่อเก็บโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด ผู้สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ในเวลาราชการ โดยไม่เสียค่าเข้าชม (http://www.sac.or.th/databases/museumdatabase/review_inside.php?id=1097)

ทั้งนี้หากต้องการเข้าชมจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ ควรติดต่อขอเข้าชมกับทางวัดก่อน

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

วัดชลธาราสิงเห, กรมศิลปากร

 

การขึ้นทะเบียน

ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร

รายละเอียดการขึ้นทะเบียน

ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 92  ตอนที่ 136 วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2518

ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานสำหรับชาติ เล่มที่ 119  ตอนพิเศษ 117ง วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2545

 

ภูมิประเทศ

สันทราย

สภาพทั่วไป

วัดชลธาราสิงเห ตั้งอยู่ที่บ้านท่าพรุ หมู่ที่ 3 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดตั้งอยู่บนเนินทรายระหว่างแม่น้ำตากใบและพรุบางน้อย ซึ่งแต่เดิมบริเวณที่ตั้งวัดเป็นป่าช้องแมวและป่าจาก มีถนนสาธารณะตัดผ่านหน้าวัด

อาณาเขตของวัดชลธาราสิงเห

ทิศเหนือ ติดกับแม่น้ำตากใบ

ทิศตะวันออก ติดกับโรงเรียนวัดชลธาราสิงเห

ทิศใต้ ติดกับทุ่งนาของราษฎร

ทิศตะวันตก ติดกับสำนักการประปาส่วนภูมิภาคอำเภอตากใบ 

ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

10 เมตร

ทางน้ำ

แม่น้ำตากใบ

สภาพธรณีวิทยา

พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอตากใบเป็นพื้นที่ราบ บางแห่งมีลักษณะเป็นพรุที่มีน้ำท่วมขังตลอดปี วัดชลธาราสิงเหตั้งอยู่บนเนินทรายระหว่างแม่น้ำตากใบและพรุบางน้อย โดยแต่เดิมเป็นป่าช้องแมวและป่าจาก มีแม่น้ำตากใบไหลผ่านทางทิศเหนือ โดยแม่น้ำตากใบไหลขนานไปกับแนวชายฝั่งทะเล มีสันทรายกว้างประมาณ 100–200 เมตรกั้นระหว่างแม่น้ำกับทะเล ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล การพัดพาของกระแสน้ำ การกระทำของลม ทำให้เกิดสันทรายปิดกั้นทางออกแม่น้ำเดิม เกิดเป็นลากูนแม่น้ำตากใบ แม่น้ำตากใบจึงต้องไหลไปออกที่บริเวณบ้านตาบา แห่งเดียวกับแม่น้ำบางนราและแม่น้ำโกลก บริเวณตำบลศาลาใหม่และเจ๊ะเห

ยุคทางโบราณคดี

ยุคประวัติศาสตร์

สมัย/วัฒนธรรม

สมัยรัตนโกสินทร์

อายุทางโบราณคดี

พ.ศ.2403

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2523

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์ศิลปะ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

หน่วยงานอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง กรมศิลปากร ตีพิมพ์บทความเรื่อง “รายงานการสำรวจจิตรกรรมฝาผนังปัตตานี ยะลา นราธิวาส” กล่าวถึงประวัติและศิลปกรรมที่พบในวัดชลธาราสิงเห

ชื่อผู้ศึกษา : อุดม หนูทอง

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2524

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “เที่ยววัดชลธาร” โดยในบทความกล่าวถึงประวัติของวัด ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เกี่ยวกับประวัติของวัดชลธาราสิงเห

ชื่อผู้ศึกษา : คลื่น มณีโชติ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2524

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “วัดชลในอดีต” กล่าวถึงประวัติของวัดและเรื่องเล่าของคนในชุมชนเกี่ยวกับวัด

ชื่อผู้ศึกษา : เฉลยไข กุลเทพย์, อุดม หนูทอง

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2524

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “จิตรกรรมฝาผนังวัดชลธาราสิงเห” โดยวิเคราะห์ตัวจิตรกรรมที่อยู่ภายในพระอุโบสถของวัดว่าสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ วิถีชีวิต ความเชื่อของคนในชุมชนทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม และมีอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบจีน

ชื่อผู้ศึกษา : สมใจ ศรีนวล

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2524

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “โบราณวัตถุสถานที่วัดชลธาราสิงเห” โดยได้กล่าวถึงลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่พบในวัดชลธาราสิงเห

ชื่อผู้ศึกษา : วรรณิภา ณ สงขลา

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2535

วิธีศึกษา : สำรวจ, ประวัติศาสตร์, ประวัติศาสตร์ศิลปะ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

วรรณิภา ณ สงขลา ฝ่ายอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมติดที่ กองโบราณคดี ศิลปากร เรียบเรียงข้อมูลเพื่อจัดทำหนังสือ “จิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย ชุดที่ 002 เล่มที่ 3 วัดชลธาราสิงเห” ซึ่งกล่าวถึงประวัติ โบราณสถาน โบราณวัตถุที่พบภายในวัดชลธาราสิงเห

ชื่อผู้ศึกษา : ประพนธ์ เรืองณรงค์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2538

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ความงามที่ตากใบ” ในบทความกล่าวถึงประวัติเมืองตากใบและวัดชลธาราสิงเห

ชื่อผู้ศึกษา : ภูธร ภูมะธน

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2540

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ไทยพุทธที่นราธิวาส” ในบทความกล่าวถึงวัดชลธาราสิงเห สถาปัตยกรรม ภาพจิตรกรรมที่สะท้อนเห็นเห็นถึงการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของคนไทยพุทธ ไทยมุสลิมและจีน

ชื่อผู้ศึกษา : คลื่น มณีโชติ

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2542

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “วัดชลธาราสิงเห” ในสารานุกรมภาคใต้กล่าวถึงประวัติของวัดและโบราณสถานโบราณวัตถุภายในวัด

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545

วิธีศึกษา : ศึกษาพิพิธภัณฑ์

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 10 สงขลา สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานสถาปัตยกรรมไทยพื้นบ้านนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส

ชื่อผู้ศึกษา : แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2547

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ วัดชลธาราสิงเห ศิลปะและภาษาบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม” กล่าวถึงศิลปกรรรมที่ปรากฏในวัดว่ามีความผสมผสานของคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา ทั้งไทยพุทธ มุสลิมและจีน ที่มีเอกลักษณะท้องถิ่น รวมทั้งรูปแบบกุฏิเจ้าอาวาสมีลักษณะคล้ายวังยะหริ่งในอำเภอปัตตานี

ชื่อผู้ศึกษา : จอมขวัญ สุวรรณรัตน์

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2547

วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : ม.ศิลปากร

ผลการศึกษา :

จัดทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “รูปแบบและความหมายของจิตรกรรมฝาฝนังที่กุฏิสงฆ์ในเขตจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส” โดยได้ทำการวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมในกุฏิสงฆ์ของวัดในจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส รวมทั้งวัดชลธาราสิงเหว่ามีลักษณะท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่

ชื่อผู้ศึกษา : สุนิสา มั่นคง

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2547

วิธีศึกษา : สำรวจ

องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร

ผลการศึกษา :

ตีพิมพ์ผลงานเรื่อง “แหล่งโบราณคดีและโบราณสถานในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร ภูเก็ต ปัตตานี นราธิวาส ตรัง” โดยทำการรวบรวมแหล่งโบราณคดีทั้งหมดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร ภูเก็ต ปัตตานี นราธิวาส ตรังในหนังสือ ได้กล่าวถึงประวัติและหลักฐานทางโบราณคดีที่พบที่วัดชลธาราสิงเห

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

ศาสนสถาน

สาระสำคัญทางโบราณคดี

วัดชลธาราสิงเห (วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่บ้านท่าพรุ หมู่ที่ 3 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดตั้งอยู่บนเนินทรายระหว่างแม่น้ำตากใบและพรุบางน้อย สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2403 โดยพระครูโอภาสพุทธคุณ (พุด) ได้ขอที่ดินจากพระยาเดชานุชิตที่ทางกรุงเทพแต่งตั้งมาปกครองรัฐกลันตัน แต่เดิมเรียกวัดท่าพรุหรือวัดเจ๊ะเหตามชื่อหมู่บ้าน ต่อมาได้มาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดชลธาราสิงเหในปี พ.ศ.2452 โดยขุนสมานธาตุวิสิทธิ์ (เปลี่ยน กาญจนรัตน์) นายอำเภอตากใบเป็น “วัดชลธาราสิงเห” ที่มีความหมายว่าเป็นวัดริมน้ำที่สร้างด้วยพระภิกษุที่มีบุญฤทธิ์ประดุจราชสีห์ (พระครูโอภาสพุทธคุณ)

ในปี พ.ศ.2416 ท่านอาจารย์พุดได้สร้างพระอุโบสถโดยมอบให้พระไชยวัดเกาะสะท้อนเป็นช่างก่อสร้างและเขียนภาพในพระอุโบสถ พระธรรมวินัย (จุ้ย) และทิดมี ชาวสงขลาช่วยกันเขียนภาพในพระอุโบสถ ในกุฏิ สร้างพระประธานในพระอุโบสถและกำแพงแก้วล้อมรอบพระอุโบสถ เมื่อสร้างเสร็จจึงขอพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ.2426 สมัยต่อมาวัดชลธาราสิงเห ได้รับการบูรณะ ปรับปรุง ซ่อมแซม และก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้น เช่น วิหาร กุฏิ ศาลา บ่อน้ำ หอระฆัง หอไตร ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก คือ การประดับลวดลายไม้ฉลุ เรียกว่า ลวดลายขนมปังขิง

ความสำคัญของวัดชลธาราสิงเห นอกจากมีศิลปกรรมท้องถิ่นที่งดงามแล้ว ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีการปักปันเขตแดนกับอังกฤษ อังกฤษได้ทำการปักปันเขตแดนเข้ามาถึงบ้านปลักเล็กเลยจากวัดชลธาราสิงเห 25 กิโลเมตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัวจึงทำการแย้ง โดยให้เหตุผลว่าวัดชลธาราสิงเหเป็นวัดไทยที่มีความสำคัญ เป็นมรดกทางพุทธศาสนา ฝ่ายอังกฤษยอมรับและเลื่อนการปักปันเขตแดนถอยลงไปทางใต้จนถึงลำน้ำโกลก ทำให้อำเภอตากใบ อำเภอแว้งและอำเภอสุไหงโกลกอยู่ในการปกครองของไทยจนถึงปัจจุบัน วัดชลธาราสิงเหจึงได้ชื่อว่า “วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย”

นอกจากนี้วัดชลธาราสิงเหยังเป็นสนามสอบนักธรรมของอำเภอตากใบ เมื่อถึงกำหนดสอบจะมีประเพณีการ “ทำบุญเลี้ยงพระสอบไล่” และถือเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจของชาวพุทธทั้งทางฝั่งไทยและมาเลเซีย  จากหลักฐานพบการเสด็จพระราชดำเนินเยือนของกษัตริย์ไทยมายังวัดชลธาราสิงเหหลายครั้ง ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทางชลมารคถึงอำเภอตากใบในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2458 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดชลธาราสิงเหในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2518 และในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ2519 เป็นต้น

โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญภายในวัดชลธาราสิงเห ได้แก่

1.พระอุโบสถ ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของวัด หันหน้าไปทางลำน้ำตากใบที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2416 แทนโบสถ์น้ำเดิมที่อยู่กลางแม่น้ำ  พระอุโบสถมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นอาคารเครื่องก่อ หลังคาซ้อนชั้นทางด้านหน้าและหลังพระอุโบสถ มีชายคาปีกนกลดหลั่นลงมา 3 ชั้น มีเสานางเรียงสี่เหลี่ยม ไม่มีบัวหัวเสารองรับเชิงชายเครื่องบน เครื่องลำยองมีช่อฟ้า ตัวลำยอง ใบระกา หางหงส์ อันเป็นการประดับตกแต่งแบบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภาพในพระอุโบสถมีการตกแต่งภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปไตรภูมิ, เทพชุมนุมและพุทธประวัติตอนต่างๆ นอกจากนี้ภาพประติมากรรมยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนตากใบ เช่น ภาพชาวจีนกำลังแบกสินค้า, ภาพเรือนแพแบบต่างๆ,ภาพแพะซึ่งเป็นสัตว์ที่เลี้ยในชุมชน เป็นต้น มีพระประธานในพระอุโบสถ

ชาวบ้านเรียก หลวงพ่อใหญ่ ด้านนอกพระอุโบสถประกอบด้วยใบเสมาและซุ้มเสมา กำแพงแก้วและซุ้มกำแพงแก้ว

2.เจดีย์ เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังบนฐานรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 4.55 เมตร ยาว 5.50 เมตร ทรงฐานสูงมีลานประทักษิณรอบเจดีย์ มีพนักกั้นเป็นขอบลายประทักษิณ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยครูจันทร์เป็นเจ้าอาวาส (ครองวัดระหว่างปี พ.ศ.2456-2462) แต่สร้างไม่เสร็จ จากนั้นมาสร้างอีกครั้งในปี พ.ศ. 2484  ลักษณะตัวเจดีย์เป็นทรงระฆังสูง ต่อขึ้นไปเป็นบัลลังก์ ก้านฉัตร ไม่มีเสาหาน แล้วเป็นแผ่นปล้องไฉนลดหลันกันไปเป็นรูปทรงกรวยจนถึงปลียอดและลูกแก้ว

3.วิหารพระพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าเจดีย์ เป็นวิหารคลุมพระไสยาสน์มีขนาดกว้าง 5.90 เมตร ยาว 9.90 เมตร สร้างโดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตรเมื่อปี พ.ศ.2484 ภายในวิหารมีพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ตอนท้ายของวิหารโถงและติดกับฐานเจดีย์เป็นอาคารเครื่องก่อ มีฝาผนังทั้งสี่ด้าน มีประตูทางเข้าทางทิศตะวันตก (สันนิษฐานว่าอาคารโถงน่าจะเป็นการต่อเติมในสมัยหลัง)  องค์พระพุทธไสยาสน์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น พระพักต์ลงรักปิดทอง พระองค์ประดับกระจก ฐานและฝาผนังประดับเครื่องถ้วย องค์พระมีขนาดยาว 7.40 เมตร กว้าง 2 เมตร มีตัวอักษรจารึก “พระครู สิททิสารวิหาร....พ.ศ.2484 ม...รัตม พริขวัต”

4.หอพระนารายณ์ เป็นอาคารเครื่องก่อ ขนาด 5.45 เมตร ยาว 6.30 เมตร มีมุขขนาดกว้าง 3.40 เมตร ยาว 4.06 เมตร มีหน้าต่างด้านๆละ 1 ช่อง ส่วนทางด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีประตู 3 บาน หลังคาทรงมณฑป 4 ชั้นยอดแหลม มุงกระเบื้องดินเผาเกาะยอ ส่วนยอดของหลังคาหล่อด้วยปูนซีเมนต์ ตรงหน้าบันมีจารึก “ปฏิสังขรณ์ พ.ศ.2499” เพดานมุขมี 2 ห้อง ตกแต่งลวดลายเป็นภาพดวงดารา ภายในมณฑปมีรูปพระนารายณ์ 4 กร บนฐานชุกชีมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย 3 องค์  เพดานด้านในประธานตกแต่งลายดวงดารา พื้นหลังประดับด้วยภาพผีเสื้อ หงส์ ช่อดอกไม้และดาวดวงเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป พื้นหลังมีสีขาว ตกแต่งลวดลายดอกไม้ร่วง คอสองเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ คานตกแต่งลายก้านปู ด้านนอกมีการตกแต่งลายเขียนสีและประดับกระจก กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะตัวหลังคาและโครงสร้างหอพระนารายณ์ในปี พ.ศ.2541

5.กุฏิ วัดชลธาราสิงเหมีกุฏิพระสงฆ์จำนวนมาก เป็นกุฏิสร้างด้วยไม้ กุฏิที่สำคัญมี 4 หลัง ได้แก่

5.1 กุฏิเจ้าอาวาส บ้างว่าสร้างโดยพระครูนราเขตสังฆกิจ  ครองวัดราว พ.ศ.2451-2455 (กรมศิลปากร 2545 : ไม่ปรากฏเลขหน้า) บ้างก็ว่าสร้างโดยพระครูพินิจสมณการ ครองวัดราวปี พ.ศ 2463-2475 (วรรณิกา ณ สงขลา 2537 : 20-21) มีลักษณะคล้ายกุฏิเจ้าอาวาสวัดฉัททันต์สมาน ที่สร้างโดยพระครูพินิจสมณการ กุฏิหลังนี้ได้รับการบูรณะใหญ่ในปี พ.ศ.2503 โดยพระครูพิพัทกาลัญญูและอีกครั้งในสมัยพระครูปัจจันตเขตคณารักษ์เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นกุฏิเรือนไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่แบบเรือนขนมปังขิง ยกพื้นสูง มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 19 เมตร ยาว 20.8 เมตร วางตัวในแนวเหนือใต้ อาคารหันไปทางทิศตะวันออก ตัวเรือนชั้นล่างมี 4 ห้องพัก มีโถงขนาดใหญ่เชื่อมต่อห้องต่างๆ โถงทางตอนในใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป ชั้นบนเป็นโถงโล่ง สำหรับเก็บของใช้ต่างๆ

การตกแต่ง  หลังคามีลักษณะเป็นทรงปั้นหยาซ้อน 2 ชั้น มีหลังคาปีกนกลดชั้นและมีหลังคาลาดจากตัวเรือนชั้นบนลงมาอีกชั้นหนึ่ง ตัวกุฏิด้านหน้า ทำเป็นมุขจั่วรับทางเข้าหลักตกแต่งด้วยลายไม้ลายฉลุ หน้าบันมีจิตรกรรมเป็นภาพครุฑยุดนาค ประดับลายพัน พฤกษา ประตูเป็นบานเฟี้ยม กรอบด้านข้างประตูประดับลวดลายแจกันดอกไม้ ช่องลมเป็นไม้ฉลุรูปเทพพนม ประทับนั่งบนดอกบัว เพดานแบ่งเป็น 3 ช่อง มีภาพพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดารา พื้นหลังมีภาพนก หงส์ ผีเสือและลายดอกไม้ร่วง มุขเสาทุกต้นประดับด้วยไม้แกะฉลุเป็นรูปต่างๆ เช่น ลิง ดอกไม้ นก ยักษ์ ล้อมรอบด้วยลายไทย  ส่วนทางเข้ารองทำซุ้มเหนือประตูซ้อน 3 ชั้นแบบซุ้มยอดมงกุฎ ผนังกุฏิ ฝาโดยรอบทำด้วยไม้กระดานประดับไม้ฉลุเป็นช่องลม เหนือหน้าต่างด้วยซุ้มซ้อน 3 ชั้นแบบเดียวกับซุ้มประตูทางเข้ารอง  ช่องหน้าต่างแคบยาวแบบเปิดเข้าภายในตัวเรือน ห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีการตกแต่งภาพจิตรกรรมบนไม้คอสองเป็นภาพพุทธประวัติและเพดานประดับลายดวงดารา แทรกภาพผีเสื้อ นกและลวดลายมุม ส่วนฐานใช้ระบบวางคานตัวเรือนบนเสาซีเมนต์หล่อสูงโดยทำฐานตีนเสาในแบบลดชั้น (จอมขวัญ สุวรรณรัตน์ 2547 : 41)

5.2 กุฏิสิทธิสารประดิษฐ์หรือกุฏิพระครสิทธิสารวิหารวัตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2498 โดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตร ประวัติวัดชลธารกล่าวว่าแต่เดิมเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง ต่อมากุฏิพังทลายลง ทางวัดจึงสร้างขึ้นใหม่แต่รูปแบบค่อนข้างต่างไปจากเดิม ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นพิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเหเพื่อเก็บโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด จากภาพถ่ายเก่า พบว่ากุฏิสิทธิสารประดิษฐ์เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง ขนาดกว้าง 19.35 เมตร ยาว 22.60 เมตร หลังคาเป็นทรงปั้นหยาซ้อนกันหลายชั้น มุงกระเบื้องดินเผา บันไดหน้าเป็นบันไดก่ออิฐถือปูน มีการทำพนักเป็นรูปตัวนาค ปลายหางโค้งงอนรับกับมุขหลังคา ยอดหลังคาตกแต่งด้วยปูนปั้นลายเครือเถา ส่วนมุมหลังคาทำรูปคล้ายหางหงส์หรือหัวนาค (วรรณิภา ณ สงขลา  2535 : 21)

5.3 กุฏิพระครูวิมลถาปนกิจ เป็นกุฏิไม้ยกสูง ขนาดกว้าง 11 เมตร ยาว 19.10 เมตร ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกุฏิสิทธิสารประดิษฐ์ หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องดินเผา มีไม้ฉลุประดับหลังคา ตอนหน้าเป็นมุข หลังคามุขประดับช่อฟ้าและหางหงส์ หน้าบันของมุขเป็นปูนปั้นพระพุทธรูป ปางสมาธิ มีพระอัครสาวกนั่งประคองอัญชลีอยู่ 2 ข้าง มีตัวจารึก “สร้าง พ.ศ.2482”

จิตรกรรมที่เพดานมุข แบ่งเป็นสี่ส่วน ตรงกึ่งกลางมีไม้กรอบตัดกัน มีบัวห้อยลง ตรงปลายมีรอกและที่ฝ้าเพดานมีจิตรกรรมภาพ พระจันทร์ทรงราชรถเทียมม้า, พระอาทิตย์ทรงราชรถเที่ยมราชสีห์, พระอาทิตย์ทรงรถเทียมราชสีและพระจันทร์ทรงราชรถเทียมม้า ภาพพื้นหลังเป็นลายช่อดอกไม้ร่วง มุมเป็นลายค้างคาว ระหว่างค้างคาวเป็นลายผีเสื้อ คานมีลายประจำยามกรวยเชิง คอสองทั้ง 4 ด้าน มีลายประจำยามก้านขดและลายเฟื่องอบะ ใต้คอสองประดับไม้ฉลุขนมปังขิง ซุ้มคูหาของกุฏิมี 3 ช่อง มีไม้จำหลักลายเครือเถาดอกพุดตาล ประดับเป็นกรอบซุ้มและตรงกลางลายซุ้มคูหาเป็นภาพยักษ์ขบและลิงขบ หูช้างเป็นไม้ฉลุลวดลายพันธ์พฤกษา 

5.4 กุฏิทรงไทย ฝาเข้าไม้แบบเรือนไทย มีชานเสริมเพิ่มออกมาทำให้เป็นผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 5.30 เมตร หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ประตูอยู่ทางมุมด้านหุ้มกลอง มีชานและบันได

6.อนุสาวรีย์พระครูโอภาสพุฒคุณ เป็นรูปหล่อโลหะเหมือนจริง ที่ฐานมีจารึกประวัติของท่าน

7.หอระฆัง มี 2 หลัง ได้แก่

7.1 หอระฆัง 2 ชั้น หลังคาทรงมณฑป ขนาดกว้างด้านละ 8 เมตร ฝาผนังหอระฆังด้านบนเป็นไม้ มีช่องหน้าต่างขนาดเล็ก มีลวดลายประดับคล้ายกุฏิของเจ้าอาวาส ภายในหอระฆังมีระฆัง 2 ใบมีจารึกระบุพ.ศ.ที่สร้าง ใบหนึ่งสร้าง พ.ศ. 2460 อีกใบหนึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2533 ภายในห้องโถงชั้นล่างแขวนป้ายประวัดวัดและป้ายชื่อวัดในปกครองของเจ้าคณะตำบลตากใบ

7.2 หอระฆัง เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ขนาดด้านกว้างด้านละ 4.50 เมตร หลังคาจตุรมุข ยอดมณฑปประดับช่อฟ้า หางหงส์ มุงกระเบื้องดินเผา หน้าบันมีจิตรกรรมไม้ เดิมเป็นไม้หอไตรในสระน้ำ ซึ่งเมื่องหอไตรกลางน้ำพังลง ทางวัดจึงได้รวบรวมไม้มาดัดแปลงสร้างเป็นหอไตรหลังนี้

8.โรงเรียนพระปริยัติธรรม  สร้างสมัยพระครูจันทร์เป็นเจ้าอาวาส (ครองวัดราว พ.ศ.2456–2462) เป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้ตะเคียน มีรูปแบบคล้ายกุฏิเจ้าอาวาสและมีลวดลายเครื่องประดับ (ปัจจุบันชำรุดเสียหาย)

9.ศาลา ศาลาโถงในวัดชลธาราสิงเห มีทั้งหมด 15 หลังและศาลาท่าน้ำ 5 หลัง มักใช้เป็นที่พักผ่อนของประชาชนโดยใกล้ศาลามักมีบ่อน้ำอยู่ใกล้ๆ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หลาบ่อ”  บางหลังทำเป็นจตุรมุข หน้าบันมีการประดับลวดลาย หลังคาประดับเครื่องลำยอง มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สันตะเข้ประดับใบระกาและหางหงส์ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา พื้นศาลาโถงอาจมี 2 ระดับ พืนภายในสูงกว่าพื้นเฉลียงเนื่องจากสมัยก่อนศาลานี้ใช้เป็นที่แสดงธรรม ที่ไม้ฝ้าเพดานมีการตกแต่งภาพจิตรกรรม

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

เพลงเมธา ขาวหนูนา, ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจจิตรกรรมฝาผนัง จังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส. กรุงเทพฯ : งานอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง กรมศิลปากร, 2527.

กรมศิลปากร. เอกสารรายละเอียดแผนปฏิบัติงานประกอบการขออนุมัติงวดเงิน ประจำปีงบประมาณ 2545 โครงการการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สถานสถาปัตยกรรมไทยพื้นบ้านนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส. สงขลา : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 10 สงขลา สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545.

คลื่น มณีโชติ. “วัดชลในอดีต”. ทักษิณคดี 1, 2 (ตุลาคม 2524) : 22 -27.

คลื่น มณีโชติ. “วัดชลธาราสิงเห”ใน สารานุกรมภาคใต้ เล่มที่ 4. กรุงเทพฯ : ธนาคารทหารไทยพานิชย์, 2542 : 1906 -1914.

จอมขวัญ สุวรรณรัตน์. “รูปแบบและความหมายของจิตรกรรมฝาฝนังที่กุฏิสงฆ์ในเขตจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส” วิทยานิพนธ์ของปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์ศิลปะ) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2547.

เฉลยไข กุลเทพย์และอุดม หนูทอง. “จิตรกรรมฝาผนังวัดชลธาราสิงเห” ทักษิณคดี 1, 2 (ตุลาคม 2524) : 28 – 40.

ประพนธ์ เรืองณรงค์. “แผ่นดินนี้เป็นที่รัก: ความงามที่ตากใบ” ศิลปวัฒนธรรม 16, 7 (พฤษภาคม 2538) : 158 -161.

ปรุงศรี วัลลิโภดม และคณะ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดนราธิวาส. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, 2545.

แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง. “วัดชลธาราสิงเห : ศิลปะและภาษาบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม”ศิลปวัฒนธรรม 25, 8 (มิถุนายน 2547) : 48 -49.

ภูธร ภูมะธน. “ไทยพุทธที่นราธิวาส” อนุสาร อ.ส.ท. 37, 8 (มีนาคม 2540) : 186 -187.

ระบบฐานข้อมูลแหล่งมรดกศิลปวํฒนธรรมและระบบภูมิสารสนเทศ โครงการสำรวจแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม (Online) Available from http://www.gis.finearts.go.th.

วรรณิกา ณ สงขลา. จิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย ชุดที่ 002 เล่มที่ 3 วัดชลธาราสิงเห. กรุงเทพฯ : ฝ่ายประติมากรรมติดที่ กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2535.

สมใจ ศรีนวล. “โบราณวัตถุสถานที่วัดชลธาราสิงเห”. ทักษิณคดี 1, 2 (ตุลาคม 2524): 41 - 47

สุนิสา มั่นคง. แหล่งโบราณคดี แหล่งโบราณสถานสุราษฎร์ธานี ชุมพร ภูเก็ต ปัตตานี นราธิวาส ตรัง. กรุงเทพฯ : กลุ่มชาการโบราณคดีประวัติศาสตร์ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร, 2547.

อุดม หนูทอง. “เที่ยววัดชลธาราสิงเห” ทักษิณคดี 1, 2 (ตุลาคม 2524) : 12 – 21.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง