บ้านหมอสอ


โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020

ชื่ออื่น : เตาโบราณบ้านหมอสอ

ที่ตั้ง : ม.8 บ้านหมอสอ ต.พระแท่น (เทศบาลตำบลพระแท่นลำพระยา) อ.ท่ามะกา

ตำบล : พระแท่น

อำเภอ : ท่ามะกา

จังหวัด : กาญจนบุรี

พิกัด DD : 13.997089 N, 99.806282 E

เขตลุ่มน้ำหลัก : แม่กลอง

เขตลุ่มน้ำรอง : ลำหมอสอ

เส้นทางเข้าสู่แหล่ง

จากตัวอำเภอท่ามะกา (บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ) ใช้ถนนแสงชูโต (ทางหลวงหมายเลข 323) ประมาณ 5 กิโลเมตร ถึงสี่แยกตำบลท่าเรือ ให้เลี้ยวขวาใช้ทางหลวงหมายเลข 3081 ไปตามถนนประมาณ 7.3 กิโลเมตร พบทางหลวงชนบทหมายเลข กจ.4026 ทางขวามือ ให้เลี้ยวขวาใช้ถนนเส้นดังกล่าว มุ่งหน้าตำบลพระแท่น ไปตามถนน 3.8 กิโลเมตร (บริเวณบ้านหมอสอ) จะพบป้าย “เตาเผาโบราณบ้านหมอสอ” และ “ศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เตาเผาโบราณและวัฒนธรรมไทยทรงดำ บ้านหมอสอ หมู่ที่ 8” ทางซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายใช้ถนนเข้าบ้านชาวบ้านไปอีกประมาณ 50 เมตร ถึงเตาเผาโบราณบ้านหมอสอ

ประโยชน์ทางการท่องเที่ยว

เป็นแหล่งท่องเที่ยว

รายละเอียดทางการท่องเที่ยว

เตาโบราณบ้านหมอสอได้รับการขุดค้นขุดแต่งและศึกษาจากกรมศิลปากรแล้ว โดยการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากท้องถิ่น และได้สร้างหลังคาคลุมทั้ง 2 เตา นอกจากนั้นท้องถิ่นยังได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับเตาเผาโบราณและวัฒนธรรมไทยทรงดำของบ้านหมอสอ และเนื่องจากเตาโบราณตั้งอยู่ในพื้นที่ “ศาลเจ้าพ่อปิ่นแก้วและศาลเจ้าแม่มะลิซ้อน” และลานบุญของหมู่บ้าน ทั้งยังเป็นมรดกวัฒนธรรมสำคัญของหมู่บ้าน เตาโบราณจึงได้รับความเคารพและการอนุรักษ์ดูแลจากเจ้าของที่ดิน ท้องถิ่น และชาวบ้านหมอสอ 

ปัจจุบันเตาโบราณบ้านหมอสอมีจำนวน 2 เตา (เตาหมายเลข 1 และเตาหมายเลข 2) ตั้งอยู่ภายในที่ดินของนางสมปอง บัวผัน (บ้านเลขที่ 19) และนางจำปี แฮวอู (บ้านเลขที่ 4) โดยทั้งสองเป็นญาติพี่น้องกัน (นางสมปองเป็นพี่สะใภ้ของนางจำปี) และเตาก็ตั้งอยู่ระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง ที่ดินผืนนี้แม้ว่าจะเป็นที่ดินมีโฉนด แต่เจ้าของที่ดินก็อนุญาตให้ใช้เป็นที่สาธารณะ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ด้านทิศเหนือของเตาติดกับพื้นที่เกษตรกรรมและบ่อน้ำ ส่วนด้านอื่นๆ เป็นบ้านเรือน

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าป้ายของเตาโบราณมีสภาพชำรุด หลุดล้มลง สิ่งของจัดแสดง อาคารศูนย์เรียนรู้ และป้ายนิทรรศการอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างขาดการดูแลเท่าที่ควร อีกทั้งเนื่องจากแหล่งเตาตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านเรือนราษฎร ทำให้มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ขนส่งสินค้าทางการเกษตรเข้ามาจอดอยู่เสมอ

ชาวบ้านหมอสอซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทรงดำ ยังคงพยายามรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านภาษาและพิธีต่างๆ เช่น งานบุญเดือน 6 (งานบุญประจำปี) พิธีเสนเฮือน มีการใช้พื้นที่แหล่งเตาเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมของไทยทรงดำ มีการติดตั้งป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยทรงดำและเตาเผาโบราณ รวมทั้งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวไทยทรงดำในบริเวณเตาหมายเลข 2 ในงานบุญเดือน 6 จะมีการจัดพิธีทำบุญประจำปีบริเวณที่ตั้งศาลเจ้าพ่อปิ่นแก้ว-เจ้าแม่มะลิซ้อนหรือบริเวณแหล่งเตานี้

ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมเตาโบราณบ้านหมอสอได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าเข้าชม

หมายเลขโทรศัพท์เทศบาลตำบลพระแท่น 034-603-613-4

หน่วยงานที่ดูแลรักษา

นางสมปอง บัวผัน (เจ้าของที่ดินและผู้ดูแล), นางจำปี แฮวอู (เจ้าของที่ดินและผู้ดูแล), เทศบาลตำบลพระแท่นลำพระยา

การขึ้นทะเบียน

ไม่ขึ้นทะเบียน

ภูมิประเทศ

ที่ราบ

สภาพทั่วไป

แหล่งเตาเผาโบราณบ้านหมอสอ อยู่ในพื้นที่ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาในยุคควอเทอร์นารี บ้านหมอสอที่เป็นที่ตั้งของเตาเป็นเนินดินเตี้ยๆ ริมตลิ่งลำหมอสอหรือคลองหมอสอ (ไหลผ่านด้านทิศเหนือและตะวันออกของเนินดิน) ปัจจุบันตัวเตาเผาอยู่ห่างจากลำหมอสอในปัจจุบันประมาณ 120 เมตร ซึ่งในอดีตก่อนที่จะสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ ลำหมอสอเคยมีระดับน้ำขึ้นมาสูงถึงชายตลิ่งที่ห่างจากเตาเผาเพียง 35 เมตรเท่านั้น

ลำหมอสอนี้สามารถเชื่อมต่อได้กับแม่น้ำแม่กลองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณที่เรียกว่า “อ่าวท่าสาร” ในเขต ต.ท่าเรือ (ปัจจุบันตัวเตาห่างจากแม่น้ำแม่กลองมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 7.5 กิโลเมตร) และเชื่อมต่อได้กับลำห้วยยางทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นลำห้วยที่ไหลผ่านด้านทิศเหนือของชุมชนโบราณกำแพงแสน ต่อเนื่องออกสู่แม่น้ำท่าจีนได้บริเวณวัดบางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม

ปัจจุบันเตาโบราณบ้านหมอสอมีจำนวน 2 เตา (เตาหมายเลข 1 และเตาหมายเลข 2) ตั้งอยู่ภายในที่ดินของนางสมปอง บัวผัน (บ้านเลขที่ 19) และนางจำปี แฮวอู (บ้านเลขที่ 4) โดยทั้งสองเป็นญาติพี่น้องกัน (นางสมปองเป็นพี่สะใภ้ของนางจำปี) และเตาก็ตั้งอยู่ระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง ที่ดินผืนนี้แม้ว่าจะเป็นที่ดินมีโฉนด แต่เจ้าของที่ดินก็อนุญาตให้ใช้เป็นที่สาธารณะ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ด้านทิศเหนือของเตาติดกับพื้นที่เกษตรกรรมและบ่อน้ำ ส่วนด้านอื่นๆ เป็นบ้านเรือน

ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

17 เมตร

ทางน้ำ

แม่น้ำแม่กลอง, ลำหมอสอ

สภาพธรณีวิทยา

ที่ราบลุ่มที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาในสมัยโฮโลซีน

ยุคทางโบราณคดี

ยุคประวัติศาสตร์

สมัย/วัฒนธรรม

สมัยอยุธยา, สมัยอยุธยาตอนปลาย

ประวัติการศึกษา

ชื่อผู้ศึกษา : เขมชาติ เทพไชย, วสันต์ เทพสุริยานนท์, จตุรพร สุขอินทร์, คำภา วุฒิไกรกัลยา

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2543

วิธีศึกษา : สำรวจ

ผลการศึกษา :

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2543 นายเขมชาติ เทพไชย ผู้อำนวยการสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 2 สุพรรณบุรี ได้รับแจ้งจากนายจตุรพร สุขอินทร์ ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ประจำจังหวัดกาญจนบุรีว่าได้พบแหล่งเตาโบราณที่ ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จึงได้เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมด้วยนายวสันต์ เทพสุริยานนท์ นักโบราณคดี ในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2543 โดยมีนายจตุรพร สุขอินทร์ และนางคำภา วุฒิไกรกัลยา ผู้ใหญ่บ้าน ม.8 บ้านหมอสอ เป็นผู้นำสำรวจ

ชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร

ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545

วิธีศึกษา : ขุดค้น, ขุดแต่ง

ผลการศึกษา :

สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 2 สุพรรณบุรี ได้รับจัดสรรงบประมาณจากกรมศิลปากร เพื่อดำเนินการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งเตาโบราณบ้านหมอสอในเดือนพฤษภาคม โดยได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจาก อ.บ.ต.พระแท่น นายขอม บัวผัน เจ้าของที่ดิน (เสียชีวิตแล้ว เป็นสามีของนางสมปอง บัวผัน เจ้าของที่ดินในปัจจุบัน) นางคำภา-นายอำนาจ วุฒิไกลกัลยา ตลอดจนชาวบ้านในพื้นที่

ประเภทของแหล่งโบราณคดี

แหล่งผลิต

สาระสำคัญทางโบราณคดี

แหล่งเตาเผาโบราณบ้านหมอสอ อยู่ในพื้นที่ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาในยุคควอเทอร์นารี บ้านหมอสอที่เป็นที่ตั้งของเตาเป็นเนินดินเตี้ยๆ ริมตลิ่งลำหมอสอหรือคลองหมอสอ (ไหลผ่านด้านทิศเหนือและตะวันออกของเนินดิน) ปัจจุบันตัวเตาเผาอยู่ห่างจากลำหมอสอในปัจจุบันประมาณ 120 เมตร ซึ่งในอดีตก่อนที่จะสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ ลำหมอสอเคยมีระดับน้ำขึ้นมาสูงถึงชายตลิ่งที่ห่างจากเตาเผาเพียง 35 เมตรเท่านั้น

ลำหมอสอนี้สามารถเชื่อมต่อได้กับแม่น้ำแม่กลองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณที่เรียกว่า “อ่าวท่าสาร” ในเขต ต.ท่าเรือ (ปัจจุบันตัวเตาห่างจากแม่น้ำแม่กลองมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 7.5 กิโลเมตร) และเชื่อมต่อได้กับลำห้วยยางทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นลำห้วยที่ไหลผ่านด้านทิศเหนือของชุมชนโบราณกำแพงแสน ต่อเนื่องออกสู่แม่น้ำท่าจีนได้บริเวณวัดบางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม

ในสมัยโบราณเส้นทางน้ำเหล่านี้คงเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในการติดต่อระหว่างคนต่างพื้นที่ การที่ลำคลองหมอสอสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางน้ำอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะแม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำท่าจีน จึงอธิบายได้ว่าสิ่งที่ผลิตจากแหล่งเตาโบราณบ้านหมอสอสามารถส่งออกเป็นสินค้าไปจำหน่ายให้กับคนต่างพื้นที่โดยเส้นทางน้ำดังกล่าว

ชุมชนโบราณใกล้กับแหล่งเตา เช่น ชุมชนโบราณกำแพงแสน (อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร) ชุมชนโบราณพงตึก (อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร) ชุมชนวัดพระแท่นดงรัก (ชุมชนขนาดใหญ่สมัยอยุธยา ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 3.5 กิโลเมตร)

เตาหมายเลข 2 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเตาหมายเลข 1 ปัจจุบันมีการสร้างอาคารคลุมทั้ง 2 เตา (เสาเป็นคอนกรีต โครงสร้างหลังคาเป็นโครงเหล็ก กระเบื้องลอน ไม่มีผนัง) ก่อรั้วอิฐเตี้ยๆ และราวเหล็กโดยรอบ

ทั้ง 2 เตา ได้รับการขุดค้นขุดแต่งจากกรมศิลปากรแล้ว โดยเตาหมายเลข 2 อยู่ลึกลงไปจากผิวดินใช้งานปัจจุบัน ส่วนเตาหมายเลข 1 อยู่สูงกว่าพื้นใช้งานปัจจุบันเล็กน้อย สภาพเตาภายในพื้นที่ล้อมรั้วในปัจจุบันอยู่ในสภาพดี แสดงถึงการได้รับการดูแลเก็บกวาดอยู่สม่ำเสมอ พื้นที่รอบเตา (นอกรั้ว) มีเศษอิฐและเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินกระจายอยู่ทั่วไป ไม่หนาแน่น

เตาเผาโบราณบ้านหมอสอทั้ง 2 เตาที่ขุดค้นศึกษาพบว่าเป็นเตาเผาระบบน้ำความร้อนขึ้น (updraft kiln) เป็นเตาทรงกลมขนาดใหญ่ ไม่น่าจะมีส่วนหลังคาเตา สร้างเตาบนเนินดินธรรมชาติหรือขุดเนินลาดริมตลิ่งเข้าไปเพื่อสร้างเตา พื้นเตาอัดดินเรียบแน่น ขอบเตาก่อด้วยอิฐซ้อนกัน 2-3 ก้อน จากนั้นจึงพอกด้วยดินเหนียวเป็นผนังหนา สูงประมาณ 1.3-1.5 เมตร ส่วนล่างของเตาสำหรับใส่เชื้อเพลิง กั้นด้วยอิฐสอดินเรียงเป็นแท่นสำหรับวางวัตถุที่จะนำมาเผา 

หลักฐานจากเตาเผาโบราณบ้านหมอสอ พบเศษภาชนะดินเผาน้อย ไม่พบเศษภาชนะดินเผาที่เสียจากการเผา แต่กลับพบชั้นปูนขาวที่ริมคลองหมอสอ ประกอบกับพบเศษปูนขาวที่ติดอยู่กับก้อนอิฐหลายก้อนภายในตัวเตา ผู้ขุดค้นจึงสันนิษฐานว่าเตาเผานี้น่าจะเป็นเตาปูนขาวสมัยโบราณ สามารถกำหนดอายุจากโบราณวัตถุที่พบได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21-22 หรือสมัยอยุธยาตอนปลาย หรือราว 300-250 ปีมาแล้ว

แหล่งเตาเผาแห่งนี้นับน่าจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมผลิตปูนขาวที่มีขนาดใหญ่และสำคัญแห่งหนึ่งในแถบภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทยในช่วงสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา การเกิดขึ้นของชุมชนและแหล่งเตาน่าจะสัมพันธ์กับการค้นพบองค์พระแท่น และการสร้างวัดพระแท่นดงรัง รวมทั้งโบราณสถานที่อยู่ใกล้เคียง ส่วนการร้างไปของชุมชนและกิจกรรมในแหล่งเตาเผาน่าจะสืบเนื่องจากภัยสงครามในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 จนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

วัตถุดิบประเภทหินปูนที่นำมาผลิตปูนขาวที่เตาแห่งนี้ น่าจะมาจากพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดใกล้เคียงในภาคตะวันตก และผลผลิตที่ได้ก็น่าจะส่งขายทางเรือไปยังท้องถิ่นต่างๆ ทั่วทั้งภาคตะวันตกและภาคกลางในรูปแบบปูนก้อนหรือปูนที่ตำให้แตกและมีขนาดเล็กลงเพื่อง่ายต่อการขนส่ง

ชุมชนโบราณใกล้กับแหล่งเตา เช่น ชุมชนโบราณกำแพงแสน (อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร) ชุมชนโบราณพงตึก (อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร) ชุมชนวัดพระแท่นดงรัก (ชุมชนขนาดใหญ่สมัยอยุธยา ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 3.5 กิโลเมตร)

อย่างไรก็ตาม เตาเผานี้ยังอาจใช้เผาภาชนะดินเผาเนื้อดินใช้ในชุมชนด้วย แต่น่าจะเป็นกิจกรรมเสริมในการใช้งานจากเตาเผา

นอกจากนี้ ผู้ขุดค้นยังพบว่าบริเวณฝั่งตรงข้ามคลองหมอสอกับแหล่งเตา ยังปรากฏซากกองอิฐโบราณในไร่อ้อย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นซากเจดีย์สมัยอยุธยา และมีเศษภาชนะร่วมสมัยดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณไร่อ้อย

ที่ด้านหน้าหรือด้านทิศใต้ของเตาหมายเลข 2 หรือด้านทิศตะวันตกของเตาหมายเลข 1 เป็นที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อปิ่นแก้วและศาลเจ้าแม่มะลิซ้อน” ศาลเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน (จากการสัมภาษณ์ทำให้ได้ข้อมูลว่าพื้นที่บริเวณนี้ทั้งในอดีตและปัจจุบันใช้เป็นลานบุญของหมู่บ้าน) ส่วนด้านทิศเหนือ ตะวันออก และใต้ ของเตาหมายเลข 1 ยังมีศาลพระภูมิเจ้าที่ตั้งอยู่อีกด้านละ 1 ศาล 

บริเวณเตาหมายเลข 2 เป็นที่ตั้งของ “ศูนย์ประสานงานเครือข่ายมรดกศิลปวัฒนธรรมบ้านหมอสอ” และเป็นพื้นที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านของชาวไทยทรงดำบ้านหมอสอวางจัดแสดงอยู่ เช่น กี่ทอผ้า เตา ภาชนะดินเผา อุปกรณ์จักสานต่างๆ

ส่วนประวัติความเป็นมาของชาวไทยทรงดำบ้านหมอสอนั้น บรรพบุรุษอพยพมาจาก ต.เขาย้อย จ.เพชรบุรี เดินทางด้วยวัวเทียมเกวียนมาพบบริเวณพื้นที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม มีป่า และลุ่มน้ำหมอสอปลาชุกชุม พื้นที่สามารถทำไร่ทำนาได้ เหมาะกับการตั้งถิ่นฐาน จึงตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย เวลาผ่านไปจึงกลายเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน

รายละเอียดของการศึกษาแต่ละเตาโดยกรมศิลปากร

เตาหมายเลข 1 ก่อนการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีพบเพียงเตาโบราณหมายเลข 1 เพียงเตาเดียว อยู่ในพื้นที่ของนายขอม บัวผัน เป็นเตาทรงกลมแบบเปิด ไม่มีหลังคา ชนิดระบายความร้อนขึ้น (updraft kiln) ตัวเตาทำด้วยดินเหนียว มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เมตร ผนังเตาสูงจากพื้นประมาณ 50 เซนติเมตร ขอบเตาด้านล่างพบอิฐก่อเรียงเป็นฐานซ้อนกัน 2-3 ก้อน และพบอิฐขนาดเดียวกันกระจัดกระจายอยู่ภายในเตา ที่ผนังเตาพบน้ำเคลือบเยิ้มไหลติดอยู่ แสดงให้ทราบว่าเตานี้เคยมีการเผาไหม้ด้วยความร้อนสูงจนหลอมละลายเอาแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อดินไหลออกมา เมื่อเย็นลงจึงเกาะติดอยู่ที่ผนังเตา ส่วนช่องใส่ไฟอยู่ทางด้านทิศเหนือของตัวเตา ทำเป็นโพรงยื่นออกมากกว้างประมาณ 90 เซนติเมตร

นอกจากนี้ ยังพบภาชนะดินเผาเนื้อดินหลายชิ้นติดอยู่ที่ผนังเตา ทั้งส่วนปากภาชนะและส่วนตัว บางชิ้นมีการตกแต่งลายซี่หวีและขูดสลักเป็นลายทาง

เตาหมายเลข 2 ตั้งอยู่ติดกับเตาหมายเลข 1 (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเตาหมายเลข 1) ขณะที่ดำเนินงานขุดแต่งหมายเลข 1 ชาวบ้านหมอสอที่มาชมการดำเนินงานได้เล่าให้ฟังว่าเตาลักษณะนี้มีอยู่อีก 1 เตา บริเวณศาลเจ้าที่ประจำหมู่บ้านที่เรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อปิ่นแก้วและศาลเจ้าแม่มะลิซ้อน” ซึ่งอดีตเป็นพื้นที่เนินลาดลงสู่ลำคลองหมอสอ ต่อมาชาวบ้านช่วยกันซื้อดินมาถมปรับพื้นให้ราบ เพื่อใช้เป็นลานทำบุญประจำปีของหมู่บ้าน การขุดศึกษาเตาหมายเลข 2 นี้ ได้รับฉันทานุมัติจากชาวบ้านหมู่ 8 เป็นอย่างดี

จากการขุดศึกษาในครั้งนั้นพบว่าเป็นเตาเผาทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5.5 เมตร ผนังเตาก่อพอกด้วยดินเหนียว มีความสูงจากพื้นเตาประมาณ 130-150 เซนติเมตร หนาประมาณ 40 เซนติเมตร ชนิดระบายความร้อนขึ้น (updraft kiln) ไม่ปรากฏส่วนของหลังคาเตา ด้านทิศเหนือของเตาพอกดินยื่นออกมาเป็นประเปาะ ทำเป็นช่องโพรงทะลุถึงภายในตัวเตา กว้างประมาณ 120 เซนติเมตร ได้ทำการขุดหลุมทดสอบบริเวณนี้ไม่พบการทับถมของชั้นวัตถุที่น่าจะนำมาเผาภายในตัวเตาแต่อย่างใด

การขุดค้นภายในตัวเตาได้พบชั้นเปลือกหอยน้ำจืดหนาประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ทับถมซ้อนกันเป็นจำนวนมาก และน่าจะเป็นหอยที่ตายโดยธรรมชาติมากกว่าที่จะถูกนำมากองรวมกันโดยคน เพราะไม่พบร่องรอยการตัดแต่งเปลือกหอย ชี้ให้เห็นว่าบริเวณนี้มีการเอ่อท่วมของน้ำจากลำหมอสออยู่เป็นระยะ และเป็นชั้นการทิ้งร้างของตัวเตาเผาแห่งนี้ ถัดลงไปเป็นชั้นกองอิฐซ้อนทับกันระเกะระกะ ใต้ชั้นอิฐเป็นชั้นถ่านและพื้นเตา ซึ่งมีชั้นความหนาประมาณ 1 เมตร

หลุมขุดค้น นอกจากการขุดศึกษาที่เตาโบราณแล้ว คณะทำงานยังดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ใกล้เคียงจำนวน 2 หลุม ขนาด 2x2 เมตร โดยหลุมที่พบหลักฐานสำคัญคือ หลุมบริเวณชายตลิ่งคลองหมอสอ ได้พบชั้นปูนขาวกองทับถมกันหนาประมาณ 20 เซนติเมตร นอกจากนี้ในชั้นเดียวกันยังพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบจำนวน 2 ชิ้น ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิง และอิฐหน้าวัว 1 ก้อน

ผู้เรียบเรียงข้อมูล-ผู้ดูแลฐานข้อมูล

ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล

บรรณานุกรม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี