โพสต์เมื่อ 22 พ.ย. 2021
ชื่ออื่น : พระธาตุถาดทอง, พระธาตุก่องข้าวน้อย, ธาตุลูกฆ่าแม่
ที่ตั้ง : ถ.ธรรมาภินันท์
ตำบล : ตาดทอง
อำเภอ : เมือง
จังหวัด : ยโสธร
พิกัด DD : 15.763606 N, 104.207092 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ชี
เขตลุ่มน้ำรอง : ห้วยทม
จากบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดยโสธร ในตัวเมืองยโสธร ใช้ถนนแจ้งสนิท หรือทางหลวงหมายเลข 23 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือมุ่งหน้าตำบลตาดทอง (หรือมุ่งหน้าจังหวัดอุบลราชธานี) ประมาณ 9.3 กิโลเมตร จะพบถนนธรรมาภินันท์ทางซ้ายมือ (มีซุ้มธาตุก่องข้าวน้อย อยู่ปากถนน) ไปตามถนนประมาณ 750 เมตร จะพบลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวของพระธาตุ
พระธาตุตาดทองเป็นโบราณสถานสำคัญมากของท้องถิ่น ทั้งในตำบลตาดทอง และจังหวัดยโสธร ปัจจุบันได้รับการปฏิสังขรณ์และดูแลรักษาเป็นอย่างดี และได้รับการประชาสัมพันธ์ในนาม "ธาตุก่องข้าวน้อย" ได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีสาธารณูปโภครองรับเพียบพร้อม ทั้งลานจอดรถขนาดใหญ่ ห้องน้ำ ทั้งยังมีร้านค้าของท้องถิ่นจำหน่ายอาหารและสินค้าพื้นเมือง และเนื่องจากเรื่องเล่าของพระธาตุที่เชื่อมโยงกับนิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ผู้มาสักการะ มักจะบนบานด้วยรูปปั้นควาย
พระธาตุตาดทอง เปิดให้เข้าสักการะและชมโบราณสถาน้ทุกวัน ระหว่างเวลา 8.00-17.00 น.โดยไม่เสียค่าเข้าชม โทร.045711510
กรมศิลปากร, เทศบาลตำบลตาดทอง
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน (ธาตุถาดทอง) ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 53 หน้า 1533 วันที่ 27 กันยายน 2479 และประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน (ธาตุถาดทอง หรือธาตุก่องข้าวน้อย) ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 126 ตอนพิเศษ 6ง วันที่ 15 มกราคม 2552 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 59 ตารางวา
พระธาตุตาดทอง ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช สภาพพื้นที่เป็นที่ราบที่ก่อตัวขึ้นจากตะกอนน้ำพาสมัยโฮโลซีน ในเขตลุ่มแม่น้ำชี (ปัจจุบันแม่น้ำชีอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของพระธาตุราว 7 กิโลมตร) มีลำน้ำสำคัญที่อยู่ใกล้คือ ห้วยทม (ห้วยทมอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของพระธาตุประมาณ 500 เมตร)โดยห้วยทมเป็นลำน้ำที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำชี กับลำเซบาย
พระธาตุตาดทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโบราณบ้านตาดทอง โดยอยู่ห่างจากคูน้ำด้านทิศตะวันออกของเมืองไปประมาณ 300 เมตร ปัจจุบันบริเวณโดยรอบพระธาตุตาดทองเป็นชุมชนขนาดใหญ่ โอบล้อมชุมชนด้วยพื้นที่เกษตรกรรมนาข้าว ส่วนสภาพโบรษณสถานก็ได้รับการปฏิสังขรณ์และดูแลรักษาเป็นอย่างดี
แม่น้ำชี, ห้วยทม
ตะกอนน้ำพาสมัยโฮโลซีน ภายใต้อิทธิพลของลุ่มแม่น้ำชี
ชื่อผู้ศึกษา : หจก.สุรศักดิ์ก่อสร้าง
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2545
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
องค์กรร่วม / แหล่งทุน : กรมศิลปากร
ผลการศึกษา :
บูรณปฏิสังขรณ์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 29 กรกฎาคม 2545ชื่อผู้ศึกษา : กา เวชกามา
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2468. พ.ศ.2469, พ.ศ.2470
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
ผลการศึกษา :
โดยการนำของพ่อกำนันกา เวชกามา (ขณะนั้นเรียกกำนันว่าตาแสง) และพระครูอุปัชฌาย์คำสิงห์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส พร้อมกับชาวบ้าน ได้พากันถากถางต้นไม้เถาวัลย์ที่ปกคลุมธาตุออก ธาตุอยู่ในสภาพทรุดโทรม ยอดหักพังเหลือพอเป็นเค้าโครงไว้เท่านั้น จึงได้พากันปั้นอิฐ เมื่อเผาอิฐเสร็จก็ถึงฤดูทำนาการทำงานซ่อมแซมจึงชะงักไว้ พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็เริ่มทำการซ่อมแซมต่ออีก โดยมอบหมายให้พ่อทิดน้อย น้องชายของพ่อกำนันกา ซึ่งเป็นช่าง อุปกรณ์การซ่อมก็เอาวัสดุพื้นบ้าน มีหิน ปูน ยางบง น้ำแช่หนังควายผสมน้ำอ้อยทรายเท่านั้น ซ่อมเสร็จในปี 2470 ทำบุญฉลอง 3 วัน 3 คืนชื่อผู้ศึกษา : กรมศิลปากร
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2506
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
ผลการศึกษา :
ปี 2506 เกิดพายุดีเปรสชั่นพัดแรงฝนตกหนัก ต้นไม้หักพังบ้านเรือนราษฎร ได้รับความเสียหาย จึงทำให้ยอดธาตุก่องข้าวน้อยหักลง ได้รายงานให้กรมศิลปากรทราบ ทางกรมศิลปากรจึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมมาซ่อมแซมยอดธาตุก่องข้าวน้อยใหม่พระธาตุตาดทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโบราณบ้านตาดทอง โดยอยู่ห่างจากคูน้ำด้านทิศตะวันออกของเมืองไปประมาณ 300 เมตร
ตำนานการสร้างพระธาตุตาดทองแห่งนี้ ผูกเข้ากับตำนานอุรังคธาตุ หรือตำนานการสร้างพระธาตุพนม โดยมีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อผู้คนในแถบรัตนบุรี ทราบข่าวการบูรณะพระธาตุพนมก็เกิดจิตศรัทธา จึงพร้อมใจกันรวบรวมวัตถุมงคลและข้าวของเครื่องใช้มีค่าต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเครื่องเงิน เครื่องทอง เพื่อนำไปบรรจุไว้ในพระธาตุพนม แต่เมื่อเดินทางถึงบ้านตาดทองกลับได้พบกับชาวบ้านสะเดา ตำบลตาดทอง ที่ไปช่วยบูรณะพระธาตุเดินทางกลับมาบ้านเพราะการบูรณะพระธาตุพนมเสร็จสิ้นแล้ว ผู้คนเหล่านั้นจึงไม่คิดจะเดินทางต่อ และได้ตกลงหารือกันว่าจะทำอย่างไรกับของที่ขนมา ในที่สุดก็ได้ข้อยุติว่า จะสร้างธาตุหรือเจดีย์ขึ้นที่บ้านตาดทอง 1 องค์ และจะนำข้าวของเหล่านี้บรรจุไว้ในเจดีย์องค์นี้ ชาวบ้านสะเดาจึงนำถาดทองที่อัญเชิญของมีค่านำไปบรรจุในพระธาตุพนม มารองรับของมีค่าที่ชาวรัตนบุรีจะนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่กำลังสร้าง จึงเรียก “พระธาตุถาดทอง” หรือ “พระธาตุตาดทอง”
ในการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานของกรมศิลปากรในปี 2479 ได้ประกาศขึ้นทะเบียนแยกระหว่าง “ธาตุถาดทอง” กับ “ธาตุลูกฆ่าแม่ หรือธาตุก่องข้าวน้อย” ที่ต่างก็อยู่ในอำเภอยะโสธร ตำบลตาดทอง จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) อย่างไรก็ดี ในการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในปี 2552 กรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน “พระธาตุถาดทอง หรือพระธาตุก่องข้าวน้อย” (นัยว่าเป็นแห่งเดียวกัน)
อย่างไรก็ดี ชื่อ “ธาตุก่องข้าวน้อย” เป็นชื่อที่ท้องถิ่นได้ใช้เรียกธาตุตาดทองในภายหลัง ซึ่งเดิมเป็นชื่อที่ใช้เรียกธาตุที่บ้านทุ่งสะเดา ธาตุที่บ้านทุ่งสะเดาที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นธาตุที่สร้างขึ้นตามเรื่องราวในนิทานพื้นบ้านเรื่อง “ลูกฆ่าแม่” หรือ “ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” ซึ่งมีสังเขปเนื้อเรื่องว่า ลูกชายที่ออกไปทำนา โดยมีแม่เป็นผู้นำอาหารไปส่งให้กินทุกวัน วันหนึ่ง แม่ไปส่งอาหารให้ช้า ลูกชายเกิดหน้ามืดโมโหหิว เห็นภาชนะที่ใส่ข้าวที่เรียกว่า ก่องข้าว มีขนาดเล็ก กลัวจะไม่พอกิน จึงได้ทำร้ายแม่ของตนจนถึงแก่ความตาย แต่เมื่อได้กินจนอิ่ม ข้าวก็ยังไม่หมด จึงเกิดความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิด จึงได้สร้างธาตุหรือเจดีย์ที่มีรูปร่างคล้ายก่องข้าว และนำอัฐิของแม่บรรจุไว้เพื่อเป็นการขอขมาและไถ่บาปในการกระทำมาตุฆาต ซึ่งเรื่องราวในนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ธาตุที่บ้านสะเดากลับไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระธาตุตาดทอง เป็นแบบศิลปะล้านช้างที่พบอยู่ทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นเจดีย์ทรงมณฑปยอดดอกบัวเหลี่ยม ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละประมาณ 7 เมตร ก่ออิฐถือปูน มีความสูงประมาณ 12.7 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนฐาน ส่วนฐานตอนล่างเป็นฐานเขียง รองรับชั้นชุดฐานบัวท้องไม้ลูกแก้วอกไก่ (เอวขันหรือแอวขัน)
ส่วนมณฑปหรือเรือนธาตุ อยู่ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำเป็นย่อเก็จมีซุ้มพระทั้ง 4 ด้าน เดิมคงจะประดับด้วยพระพุทธรูปยืนปูนปั้นทั้งสี่ทิศ แต่ปัจจุบันหลุดหลายไปหมดแล้ว ยอดซุ้มโค้งแบบซุ้มหน้านางภายในประดับปูนปั้นลายพรรณพฤกษา เสาซุ้มทำลายแสงตาเวน (ตะวัน) ประดับกระจก
ส่วนยอด เป็นบัวเหลี่ยมย่อเก็จ โดยทำเป็นรูปเรียวจากด้านล่างขึ้นสู่ส่วนยอด หรืออาจเรียกได้ว่าลักษณะเป็นแบบทรงหีบหรือทรงบัวเหลี่ยมสี่ด้าน ตรงโคนหรือตีนหีบทำเป็นกลีบบัวสูงชะลูดไปสู่ส่วนปลาย แล้วหยักเป็นเอวขันคั่นกับส่วนยอดสุด ทำซ้อนกัน 3 ชั้น ยอดบนสุดเป็นฉัตรสูงประมาณ 1 เมตร
บริเวณรอบธาตุทั้งหมดทำเป็นกำแพงแก้วเตี้ย ๆ โอบรอบอยู่ทั้ง 4 ด้าน กว้างยาวประมาณด้านละ 11.20 เมตร สูงประมาณ 75 เซนติเมตร หนา 70 เซนติเมตร มีช่องประตูเข้าออกทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก กว้างช่องละประมาณ 70 เซนติเมตร
พื้นที่บริเวณโดยรอบธาตุมีใบเสมาปักอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ลักษณะเป็นใบเสมาหินทรายแดง ตรงแกนกลางสลักเป็นสันแกนนูนแบบศิลปะทวารวดี เสมาเหล่านี้อาจเป็นเสมาที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนหน้า ในบริเวณบ้านตาดทอง ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบ สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ที่อยู่ห่างจากพระธาตุออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร นอกจากนี้โดยรอบพระธาตุยังมีธาตุขนาดเล็กที่สร้างในสมัยหลังเพื่อเก็บอัฐิตามคตินิยมของชาวอีสาน
บริเวณด้านตะวันออกของธาตุติดกับกำแพงแก้วมีอูบมุงก่ออิฐหลังเล็ก ๆ แบบพื้นถิ่นอีสาน ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมหลังคาโดมเอนลาดสอบเข้าหากัน สันหลังคาประดับปูนปั้นรูปนาค ยอดหลังคาในตอนหลางเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ฝีมือช่างพื้นถิ่นอีสาน ก่อขึ้นใน พ.ศ.2495 โดยช่างบ้านตาดทอง
ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมและอายุสมัยของพระธาตุแล้ว จึงทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า พระธาตุแห่งนี้อาจสร้างขึ้นโดยชุมชนเชื้อสายลาวล้านช้างที่อพยพมาจากเวียงจันทร์ในสมัยธนบุรี ที่มาตั้งถิ่นฐานในเขตจังหวัดยโสธรในปัจจุบัน