โพสต์เมื่อ 13 ก.ค. 2020
ชื่ออื่น : ไชยา
ที่ตั้ง : อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
อำเภอ : ไชยา
จังหวัด : สุราษฎร์ธานี
พิกัด DD : 9.384508 N, 99.18444 E
เขตลุ่มน้ำหลัก : ไชยา
เขตลุ่มน้ำรอง : คลองท่าโพธิ์, คลองตะเคียน, คลองพุมเรียง
อำเภอไชยาอยู่ห่างจากอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีประมาณ 68 กิโลเมตร การเดินทางจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี มีรถประจำทางสองแถวอำเภอเมือง – ไชยา, รถตู้ สามารถลงในตัวอำเภอเมืองไชยาได้สะดวก การเดินทางโดยรถไฟสามารถลงที่สถานีไชยาได้โดยสะดวก ส่วนการเดินทางโดยรถส่วนตัว เดินทางจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีบนทางหลวงหมายเลข 41 ที่มุ่งหน้าไปอำเภอชุมพร ประมาณ 50 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาบริเวณก.ม. 134 ผ่านสวนโมกข์ และเลี้ยวขวาอีกครั้งตรงสี่แยกโมถ่ายหรือตามถนนทางหลวงหมายเลข 4011 ตรงไปราวประมาณ 3 กิโลเมตรจึงถึงกลางอำเภอเมืองไชยา (แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ภายในตัวเมืองอำเภอไชยา)
ชุมชนโบราณไชยาปัจจุบันเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ โบราณสถานวัดเวียง วัดแก้ว วัดหลง และวัดพระบรมธาตุไชยา โดยเฉพาะวัดพระบรมธาตุไชยาที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางสักการะพระบรมธาตุเป็นจำนวนมากและ ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยาที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในตัวอำเภอไชยา โดยเปิดให้เข้าชมในวันพุธ – อาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชม คนไทย 5 บาท คนต่างชาติ 10 บาท นอกจากนี้ยังมีการท่องเที่ยวเชิ่งนิเวศและวัฒนธรรม ที่บริเวณหมู่บ้านพุมเรียง
เทศบาลตำบลตลาดไชยา, กรมศิลปากร
ไม่มีการประกาศขึ้นทะเบียนทั้งเมืองโบราณ แต่ขึ้นทะเบียนเฉพาะบางแหล่ง ได้แก่ โบราณสถานวัดเวียง โบราณสถานวัดแก้ว โบราณสถานวัดหลง วัดพระบรมธาตุไชยา เขาสายสมอ วัดเขาน้ำร้อน วัดใหม่ชลธาร วัดป่าเลไลย์ วัดโท วัดจำปา วัดอุบล และวัดสมุหนิมิต
ชุมชนโบราณไชยา เป็นชื่อที่ใช้เรียกชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ในอำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นชุมชนที่มีความสำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 18
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของอำเภอไชยา ทางตอนในเป็นพื้นที่สูงเป็นป่าเขาได้แก่พื้นที่บริเวณเขาพนมแบก ทางตอนกลางเป็นพื้นที่ราบหรือดอนสลับริ้วสันทรายขนาดเล็กและใหญ๋ วางตัวในแนวทิศเหนือใต้ มีสันทรายขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของชุมชนขนาดกว้าง 3 ก.ม. กว้าง 300 – 400 เมตรสูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ 1-2 เมตร คือ พื้นที่ตั้งวัดเวียง วัดแก้ว วัดหลงและเขาน้ำร้อนในปัจจุบัน ระหว่างพื้นที่ราบมีภูเขาลูกโดดกระจายตัวอยู่ทั่วไป (ภูเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหินทรายแดงและหินปูน) บางแห่งมีศาสนสถานตั้งอยูบนเขา เช่น เขาน้ำร้อน เป็นต้น
ชุมชนไชยามีลำคลองไหลผ่านหลายสาย คลองที่สำคัญ ได้แก่ คลองไชยา คลองตะเคียน คลองท่าโพธิ์ และคลองพุมเรียง คลองเหล่านี้ไหลลงสูทะเลโดยตรงปากคลองบางสายก็ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดี เช่น แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ เป็นต้น
จากการสำรวจทางโบราณคดีทางโบราณคดี พบแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง สามารถแบ่งออกตามลักษณะภูมิประเทศได้ ดังนี้
- กลุ่มชุมชนบนสันทราย ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 4 แหล่ง ได้แก่ แหล่งโบราณคดีวัดเวียง ต.ตลาดไชยา, แหล่งโบราณคดีวัดหลง ต.ตลาดไชยา ,แหล่งโบราณคดีวัดแก้ว ต.เลม็ด และแหล่งโบราณคดีบ้านหัวคู ต.เวียง
- กลุ่มชุมชนบนริ้วสันทรายขนาดเล็ก ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 5 แหล่ง ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านลำไย ต.ทุ่ง,แหล่งโบราณคดีวัดอิฐ ต.ทุ่ง,แหล่งโบราณคดีวัดประสบ ต.ทุ่ง และแหล่งโบราณคดีตำบลทุ่ง ต.ทุ่ง
- กลุ่มชุมชนแนวลำน้ำ ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 7 แหล่ง
แนวลำคลองท่าตีนและคลองตะเคียน มีแหล่งโบราณคดีบ้านมณฑล ต.ป่าเว
แนวลำคลองท่าโพธิ์มีแหล่งโบราณคดีวัดใหม่ชลธาร ต.ตลาดไชยา
แนวลำคลองไชยา มีแหล่งโบราณคดีวัดเดิมเจ้า ต.ป่าเว,แหล่งโบราณคดีวัดเววน ต.ป่าเว,แหล่งโบราณคดีวัดศรีเวียง ต.ป่าเว,แหล่งโบราณคดีวัดศาลาทึง ต.ตลาดไชยาและแหล่งโบราณคดีวัดพระบรมธาตุไชยา ต.เวียง
- กลุ่มชุมชนบนเนินเขาริมลำน้ำ ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 3 แหล่ง ได้แก่ แหล่งโบราณคดีเขาพนมแบก ต.เขาพนมแบก,แหล่งโบราณคดีเขาสายสมอ ต.เวียงและแหล่งโบราณคดีเขาน้ำร้อน ต.เลม็ด
-กลุ่มชุมชนชายฝั่งทะเล ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดี 2 แหล่ง ได้แก่ แหล่งโบราณคดีวัดโพธารามและแหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ ต.พุมเรียง ( ธราพงศ์ ศรีสุชาติ, 2542, 2195 – 2218)
เมืองโบราณไชยา เป็นพื้นที่ราบสลับริ้วสันทรายที่มีลำคลองไหลสายไหลผ่านลงสู่ทะเล ลำคลองเหล่านี้ ได้แก่ คลองไชยา คลองท่าโพธิ์ คลองตะเคียน และคลองพุมเรียง
ลักษณะทางธรณีวิทยาของสุราษฎร์ธานี จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับที่ราบชายฝั่งทะเลตะวันออก ที่มีเกิดการงอกของแผ่นดินจากตะกอนของแม่น้ำ การพัดพาของลมและน่ำทะเลทำให้เกิดที่ราบล่มแม่น้ำและริ้วสันทรายหลายแห่งโดยเป็นริ้วสันทรายที่เกิดขึ้นใหม่ราวในช่วง Holocene มีอายุประมาณ 11,000 ปีมาแล้ว (โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2526,1-4)
ชื่อผู้ศึกษา : พระชยาภิวัฒน์สุภัทรสังฆปราโมกข์ (หนู)
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2439
วิธีศึกษา : บูรณปฏิสังขรณ์
ผลการศึกษา :
พระชยาภิวัฒน์สุภัทรสังฆปราโมกข์ (หนู) ได้ชักชวนเจ้าอาวาสปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเมืองไชยา โดยได้บันทึกลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระบรมธาตุไชยาโดยปรากฏใน “รายงานเสนอพระยามหิบาลบริรักษ์ ข้าหลวงเทศาชุมพร” เมื่อเดือนกันยายน ร.ศ.129 ว่า องค์เจดีย์ตั้งอยู่บนฐาน ตอนต่อจากพื้นฐานขึ้นไปถึงหอระฆังลดชั้นมีหน้ามุขหน้าบันและบราลีทุกชั้น แต่บราลีทำเป็นรูปเจดีย์เล็กๆ กำแพงระเบียงทำเป็นสี่เหลี่ยมจัสตุรัสและตามระเบียงมีพุทธปฎิมากรศิลาล้อมรอบนับได้ 180 องค์ โครงสร้างเป็นอิฐไม่ใช้ปูนสอแต่เป็นลักษณะอิฐป่นเป็นบายสอ สันนิษฐานว่าก่อนการบูรณะในครั้งนี้มีการบูรณะในสมัยโบราณมาแล้ว 2 ครั้งชื่อผู้ศึกษา : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2440
วิธีศึกษา : สำรวจ
ผลการศึกษา :
ในการเสด็จตรวจราชการมณฑล ณ ปักษ์ใต้ พ.ศ.2440-2454 ทรงพบพระพุทธรูปนาคปรกกับศิลาจารึก 2 หลักที่วัดเวียงหลวงเสรีวรราช(แดง)นายอำเภอพุมเรียงได้นำมาถวายที่กรุงเทพ ในการขุดศิลาจารึกทั้งสองหลัก นายอุผู้ใหญ่บ้านได้กล่าวถึงตำแหน่งที่พบศิลาจารึกว่า อยู่ห่างจากวัดเวียงไปทางตะวันตกราว 1 เส้น ก่อเป็นผนังขึ้นยาวไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ในนั้นมีเทวรูปไปทางทิศเหนือราว 3 ศอก รูปศิลาผืนผ้ายาวราว 4 ศอก กว้าง 1 ศอก มีเดือยลงในเขียง ศิลาแท่งขนาดเล็กอยู่ทิศใต้ของเทวรูป ส่วนที่วัดพระบรมธาตุไชยา สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพได้นำประติมากรรมรูปพระโพธิ์สัตว์จากโบสถ์พราหมณ์บริเวณนอกกำแพงชั้นนอกทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามายังกรุงเทพฯชื่อผู้ศึกษา : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2446
วิธีศึกษา : ทำผัง, ศึกษาตำนาน
ผลการศึกษา :
ทรงศึกษาตำนานท้องถิ่นและเขียนลงใน จดหมายเหตุระยะทางไปตรวจราชการแหลมมาลายู ร.ศ. 121 วินิจฉัยว่าเมืองโบราณก่อนการตั้งพระบรมธาตุไชยา อยู่บริเวณต้นน้ำคลองไชยา เหนือปากหมากตรงเขาเพลา พบกำแพงทำด้วยหิน แล้วยกจากวัดพระธาตุไปตั้งบ้านสงขลาแล้วจึงไปพุมเรียง จากนั้นได้ทำผังวัดพระบรมธาตุไชยาและบันทึกโบราณวัตถุในพระบรมธาตุไชยาชื่อผู้ศึกษา : E.E.Lunet de Lajonquiére
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2452
วิธีศึกษา : สำรวจ
ผลการศึกษา :
พ.ศ.2452-2455 ได้สำรวจโบราณสถานและโบราณวัตถุภาคใต้และตีพิมพ์ผลงานใน Bulletin de la commission Archéologique de I’Indochine เรื่อง “La Domaine Archéologique du Siam” และ “Essai d’Inventaire Archéologique du Siam” กล่าวว่าชุมชนโบราณไชยาน่าจะคือ อาณาจักร “พัน-พัน” ส่วนพระบรมธาตุไชยา มีเทคนิคคล้ายสถาปัตยกรรมของจามและเขมร พระพุทธรูปศิลาแดงในวัดพระบรมธาตุไชยาเป็นศิลปะกลุมไทย ส่วนประติมากรรมจากวัดเวียงจัดอยู่ในศิลปะอินเดีย – เขมรชื่อผู้ศึกษา : หลวงวิชิตภักดี
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2460
วิธีศึกษา : ขุดตรวจ
ผลการศึกษา :
หลวงวิชิตภักดี นายอำเภอไชยา ขุดตรวจสอบตรงบริเวณที่พบจารึกวัดเวียงพบฐานเลียบของจารึกเพิ่มเติม เป็นข้อยืนยันว่าศิลาจารึกหลักที่ 24 ก.และ 24 ข.ชื่อผู้ศึกษา : George Coédes
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2461
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “Le royaume de Crivijaya” ใน Bulletin de l’Ecole Francaise d’Extrême,Orient,XVIII,1918 และ “ A propos de la chut du royaume de Crivijaya” ใน BKI, vol 83 กล่าวถึงจารึกพระพุทธรูปนาคปรกสำริดพบที่วัดเวียง ว่าเป็นจารึกภาษาเขมร อักษรขอม กล่าวว่าในปี พ.ศ.1773 กษัตริย์ในพระราชวงศ์เดียวกับที่ครองเมืองมาลายูสั่งให้ผู้ดูแลเมืองครหิหล่อพระพุทธรูปขึ้นในเมืองไชยาชื่อผู้ศึกษา : C.otto Blagden
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2462
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ The empire of Maharaja,King of the Mountain and Lord of the Isles” ใน Journal Straits Branch Royal Asiatic Society, no.81,1921 กล่าวถึงจารึกพระพุทธรูปนาคปรกที่พบที่วัดเวียงชื่อผู้ศึกษา : Gabriel Ferrand
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2465
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
ผลการศึกษา :
ในงานเขียน L’empire sumatranais de Crivijaya ได้กล่าวว่าเมืองครหิที่ปรากฏบนจารึกพระพุทธรูปนาคปรกสำริดเป็นชื่อเมืองดียวกับเกียโลหิในจดหมายจีนชื่อผู้ศึกษา : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2469
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์หนังสือ “ตำนานพุทธเจดีย์สยาม” จัดพระบรมธาตุไชยาเป็นตัวอย่างของมณฑปหลังคาทรงสถูป ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปลัทธิมหายาน พระโพธิสัตว์หินและสำริดที่พบในเมืองไชยาจัดให้อยู่ในกลุ่มศิลปะสมัยศรีวิชัย มีอายุระหว่าง พ.ศ.1200 – 1400ชื่อผู้ศึกษา : หลวงบริบาลบุริภัณฑ์
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2470
วิธีศึกษา : ขุดตรวจ
ผลการศึกษา :
ทำการขุดตรวจสอบฐานรากทางทิศใต้ของโบราณสถานวัดแก้ว กล่าวว่ามีลักษณะคล้ายพระบรมธาตุไชยาแต่ขนาดใหญ่กว่าและยังไม่ได้ซ่อมแซม ด้านทิศตะวันตกมีรอยร้าว ส่วนทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกเป็นดินคลุมชื่อผู้ศึกษา : George Coédes
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2471
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “Les Collections Archéologique du Musée National de Bangkok” ใน Ars Asiatica,1982,XII จัดโบราณวัตถุที่พบในไชยาว่าเป็นศิลปะร่วมสมัยศรีวิชัย และวินิจฉัยว่าพระโพธิสัตว์หินที่วัดศาลาทึงเป็นประติมากรรมใกล้เคียงศิลปะทวารวดี ส่วนพระโพธิสัตว์สำริดที่พบที่วัดพระบรมธาตุไชยามีลักษณะใกล้เคียงศิลปะจามชื่อผู้ศึกษา : George Coédes
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2472
วิธีศึกษา : ศึกษาเอกสาร/จารึก
ผลการศึกษา :
ได้ตีพิมพ์หนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยามภาค 2” โดยได้บันทึกภาพ รวบรวมคำแปล คำอธิบายจารึกหลักที่ 24 ก, 24 ข (ยังไม่แปล) และหลักที่ 25 (ฐานพระพุทธรูปนาคปรก) โดยกล่าวว่าเป็นเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงศรีวิชัยชื่อผู้ศึกษา : Jean Yves Claeys
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2472
ผลการศึกษา :
Jean Yves Claeys ได้เดินทางไปสำรวจศึกษาโบราณวัตถุที่วัดพระบรมธาตุไชยา วัดเวียง วัดแก้ว วัดหลง เขาน้ำร้อน วัดใหม่ชลธาร วัดประสบ วัดป่าเลไลย์ วัดศาลาทึงกับหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ จากนั้นได้ขุดตรวจสอบฐานของโบราณสถานวัดเวียงและวัดหลง เปรียบเทียบกับวัดแก้ว เสนอแนวความคิดลงใน L’Archéeologie du Siam ในปี ค.ศ. 1931 กล่าวว่าโบราณสถานอิฐวัดแก้วคล้ายกับเจดีย์ในเมืองจาม ส่วนโบราณสถานที่วัดหลงและวัดเวียงเป็นศาสนสถานฐานสี่เหลี่ยม มีการบูรณะในสมัยหลัง สันนิษฐานว่าเป็นโบราณสถานร่วมสมัยกับพระบรมธาตุไชยาชื่อผู้ศึกษา : หลวงบริบาลบุริภัณฑ์
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2473
วิธีศึกษา : สำรวจ
ผลการศึกษา :
พบโบราณวัตถุในไชยาเพิ่มเติม เช่น พระพุทธรูปหินลงรักปิดทองแบบทวารวดีในพระบรมธาตุไชยา 1 องค์,พระพุทธรูปหินประทับนั่งศิลปะทวารวดีในซุ้มหน้าพระบรมธาตุไชยา 1 องค์, พระพุทธรูปหินศิลปะศรีวิชัยจากระเบียงพระบรมธาตุไชยา 2 องค์ เทวรูปพระนารายณ์หินจากวัดใหม่ชลธารและพระสถูปหินทรงระฆังบนฐาน 6 ชั้นจากวัดประสบชื่อผู้ศึกษา : H.G.Quaritch Wales
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2477
ผลการศึกษา :
ทำการสำรวจและขุดทดสอบฐานรากวัดแก้วทางด้านตะวันออกและตีพิมพ์ผลงานเรื่อง “A New Explored Route of Ancient Indian Cultural Expansion” ใน Indian Art and Letters vol.1 กล่าวว่าบริเวณไชยาน่าจะเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัย เพราะพบโบราณวัตถุมากกว่าที่พบที่ชวาและสุมาตรา มีเส้นทางจากตะกั่วป่ามาไชยา การขุดค้นที่วัดแก้วพบภาชนะดินเผาแบบพื้นเมืองชื่อผู้ศึกษา : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2478
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
วินิจฉัยเกี่ยวกับชุมชนโบราณไชยาในสาส์นสมเด็จว่าบรรดาเมืองในภาคใต้เมืองโบราณไชยาถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด (รวมเมืองเวียงสระ) พระบรมธาตุไชยาเป็นเจดีย์ในสมัยศรีวิชัยมีลักษณะศิลปะแบบหลังคุปตะ พระพุทธรูปที่พบที่เมืองไชยานิยมสร้างด้วยหินทรายแดงเพราะมีภูเขาหินทรายแดงใกล้เมืองกำหนดอายุอยู่ในช่วงปลายสมัยศรีวิชัยร่วมสมัยขอมตอนปลายชื่อผู้ศึกษา : George Coédes
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2479
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ A propos d’une novella théorie sur le site de Crivijaya” ใน Journal of the Malayan Branch of the Royal Asiatic Society เล่มที่ XIV ปี ค.ศ. 1936 เสนอว่าไชยาเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรศรีวิชัยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 โดยสันนิษฐานจากโบราณวัตถุที่พบ เช่น พระโพธิสัตว์ที่พบแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมนดุต ชวาซึ่งน่าจะเป็นศูนย์กลางศรีวิชัยชื่อผู้ศึกษา : Reginald Le May
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2481
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “A Concise History of Buddhist Art in Siam” สันนิษฐานว่าประติมากรรมพระพุทธรูปนาคปรกสำริดที่วัดเวียงสร้างขึนไม่พร้อมกัน โดยตัวนาคมีรูปแบบศิลปะแบบเขมร ส่วนพระพุทธรูปมีลักษณะคล้ายศิลปะแบบทวารวดี ชื่อกษัตริย์ที่ปรากฏบนจารึกน่าจะเป็นกษัตริย์เชื่อสายเขมรที่เข้ามาปกครอง พระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้น่าจะเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นชื่อผู้ศึกษา : Pierre Dupont
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2485
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ Vishnu mitrés de l’Indochine occidentale” และ “Le Buddha de Grahi et L’école de Chaiya” ใน Bulletin de L’Ecole FranCaise d’Extreme Orient เล่ม XLIและ XLII ใน ปี 1941 กล่าวว่าพระวิษณุที่พบที่ไชยาเป็นสกุลช่างเดียวกับที่พบที่ปราจีนบุรี ส่วนพระพุทธรูปนาคปรกสำริดที่พบที่วัดเวียง จัดให้อยู่ในสกุลช่างไชยา วิจารณ์ว่าประติมากรรมนี้สามารถแยกได้ 3 ส่วน โดยตัวพระพุทธรูปนาคปรกและจารึกสร้างในช่วงเดียวกัน ส่วนพระพุทธรูปสร้างขึ้นในสมัยหลัง ส่วนพระพุทธรูปในช่วงพุทธศวรรษที่ 19 ที่พบที่ไชยานั้น พบว่าสืบทอดศิลปะมาจากช่วงสมัยศรีวิชัยชื่อผู้ศึกษา : George Coédes
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2475, พ.ศ.2491
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ Histoire Anciennes des Etats Hindouises d’Extrême Orient ”และ “Les Etats Hindouise d’Indochine et d’Indonésie ในหนังสือ Histoire du Monde สันนิษฐานว่าข้อความในจารึกหลักที่ 24 ก. ที่พบที่วัดเวียง เป็นเรื่องราวของพระเจ้าจันทรภาณุและตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช)และเป็นราชาของพวกกะที่ปรากฏบนหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา เป็นกษัตริย์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18ชื่อผู้ศึกษา : พุทธทาสภิกขุ
ปีที่ศึกษา : พ.ศ.2491
วิธีศึกษา : ประวัติศาสตร์ศิลปะ, ศึกษาการตั้งถิ่นฐาน/การใช้พื้นที่
ผลการศึกษา :
ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน” สันนิษฐานว่าแต่เดิมชนพื้นเมืองเดิมอาศัยอยู่บริเวณเขาเพลา ต้นน้ำคลองไชยาและเคลื่อนย้ายมาผสมกับชาวอินเดียโพ้นทะเลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสมัยทวารวดีพบพระพุทธรูปศิลปะทวารวดีที่วัดพระบรมธาตุไชยา วัดเววน วัดแก้ว วัดเวียง และวัดโพธาราม สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นประติมากรรมที่นำเข้ามาจากนครปฐมสมัยนี้ชุมชนโบราณไชยานับถือเถรวาท ต่อมาในช่วงสมัยศรีวิชัยที่ปกครองโดยกษัตริย์ไศเลนทร์วงศ์ เมืองไชยามีภูเขาน้ำร้อนเป็นภูเขาประจำราชวงศ์ ถือเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญและทำการรวบรวมโบราณวัตถุที่พบในเมืองไชยาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเมืองไชยา จากการพบโบราณวัตถุประเภทขวานหินขัดในบริเวณ ตำบลปากหมาก ที่อยู่บริเวณต้นแม่น้ำไชยาและกลองมโหระทึกจำนวน 1 ใบ (ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่พบที่ชัดเจน) ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าชุมชนโบราณไชยามีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่บริเวณป่าเขาด้านตะวันตก จากนั้นได้มีการเคลื่อนย้ายมาก่อตั้งชุมชนบริเวณแนวฝั่งริมแม่น้ำและสันทรายใกล้ชายฝั่งทะเลในสมัยหลัง โดยชุมชนน่าจะมีพัฒนาการมาจากกลุ่มชนชนชายฝั่งทะเลคือ พื้นที่บริเวณแหลมโพธิ์ซึ่งพบหลักฐานเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ถังของจีน เครื่องแก้วอาหรับ เศษภาชนะดินเผาพื้นเมืองจำนวนมาก ลูกปัด ภาชนะแก้ว ซากหางเสือเรือ เรือ บ่อน้ำจืดหลายแห่งกำหนดชุมชนอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 -15 จนกลายเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญ จากนั้นจึงเกิดการสร้างชุมชนขึ้นบริเวณพื้นที่สันทรายด้านในและตามแนวลำน้ำโดยพื้นที่บริเวณนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและศาสนาได้แก่ พื้นที่สันทรายบริเวณวัดเวียง วัดแก้ว วัดหลง หลักฐานที่สนับสนุนว่าชุมชนโบราณไชยาเป็นเมื่องท่าที่มีความสำคัญคือ การพบหลักฐานประเภทโบราณวัตถุต่างถิ่นจำนวนมาก นอกจากจะเป็นเมืองท่าที่ติดต่อกับชุมชนต่างถิ่นแล้ว พบว่าเมื่องโบราณไชยาน่าจะมีความสัมพันธ์กับชุมชนใกล้เคียง ได้แก่ ชุมชนโบราณท่าชนะ ชุมชนโบราณพุนพิน ชุมชนโบราณเวียงสระ ตลอดจนอาจมีการติดต่อกับเมืองท่าทางฝั่งตะวันตก คือเมืองตะกั่วป่าโดยสามารถใช้เส้นทางลัดแนวเขาเพื่อติดต่อกันได้
ในส่วนทางด้านศาสนา พบโบราณวัตถุที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ โดยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 -13 พบโบราณวัตถุประเภทพระพุทธรูปคล้ายคลึงกับศิลปะทวารวดี ที่แหล่งโบราณคดีวัดโพธาราม แหล่งโบราณคดีวัดเววน แหล่งโบราณคดีวัดแก้ว พบชิ้นส่วนธรรมจักรศิลาที่แหล่งโบราณคดีทุ่ง กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 -13 นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น กรอบประตู ธรณีหิน วิษณุ ศิวลึงค์ โยนิโทรณะ พระสุริยะเทพ พระคเณศ ที่ แหล่งโบราณคดีวัดใหม่ชลธาร วัดพระบรมธาตุไชยา วัดศาลาทึง วัดแก้ว วัดอิฐ เป็นต้น ทำให้สันนิษฐานว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 – 13 ชุมชนโบราณไชยามีการถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทและศาสนาพราหมณ์ทั้งไศวนิกายและไวษณพนิกาย
ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 พุทธมหายานได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและเจริญสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 -15 ทำให้ศาสนาฮินดูค่อยๆลดบทบาทลง โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งโบราณคดีวัดพระบรมธาตุไชยา แหล่งโบราณคดีวัดแก้ว แหล่งโบราณคดีวัดหลง แหล่งโบราณคดีวัดเวียง เป็นต้น จากการพบหลักฐานทางโบราณคดีทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของไชยาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 -18 ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าไชยาอาจเป็นศูนย์กลางหรือเมืองที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งในสมัยศรีวิชัย
ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 -17 อาณาจักรตามพรลิงค์แห่งนครศรีธรรมราชรุ่งเรือง เมืองไชยาถูกลดบทบาทลงไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช กลายเป็นหนึ่งในเมือง 12 นักษัตรสันนิษฐานว่าคือ เมืองบันไทยสมอที่ใช้ตราลิง(ปีวอก)เป็นตราประจำเมือง จากหลักฐานที่พบในเมืองไชยาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 สันนิษฐานว่าชุมชนไชยากลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยโบราณวัตถุที่พบในช่วงนี้ชี้ให้เห็นว่าชุมชนโบราณไชยามีการติดต่อกับ เขมรและสุโขทัย พบจารึกภายในชุมชนโบราณจำนวน 3 หลัก คือ หลักที่ 24 , 24ก. และหลักที่ 25 โดยหลักที่ 25 ทำให้ทราบว่าเมืองไชยา มีชื่อว่าเมืองครหิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยมีมหาเสนาบดีคลาไนปกครองซึ่งได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าศรีมัตไตรโลกยราชเมาลิภูผู้เป็หัวหน้าของประเทศครหิหล่อพระพุทธรูปขึ้น ในพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 นี้พบว่าโบราณสถานบางแห่งได้มีการเข้าไปใช้พื้นที่และปรับปรุงพื้นที่และรับเอาพุทธเถรวาทแทนที่ศาสนาพุทธมหายาน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1998 มีหลักฐานกล่าวถึงเมืองใต้การปกครองของอยุธยาบริเวณคาบสมุทรมาลายู 4 เมือง ได้แก่ นครศรีธรรมราชเป็นหัวเมืองเอก เมืองพัทลุง ไชยาและชุมพรเป็นหัวเมืองตรี ที่เมืองไชยาเจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระมีราชทินนามว่าออกพระวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม ถือศักดินา 5000 มีรับพระราชโองการให้สร้างป่าเป็นนา เมืองสำคัญ 4 เมือง คือ เมืองไชยา เมือท่าทอง เมืองไชยคราม เมืองเวียงและได้มีการฟื้นฟูบูรณะพระบรมธาตุไชยา ต่อมาในมัยกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2310 เมืองไชยาถูกทัพพม่าเข้าโจมตีที่หมู่บ้านพุมเรียง ราษฎรในหมู่บ้านนรวมตัวกันต่อสู้ที่วัดอุบลจนแตกพ่าย ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยาจึงว่างลง หลวงสิทธินายเวรปลัดเมืองนครศรีธรรมราช(ปลัดหนู) ตั้งตนเป็นอิสระ(ชุมนุมเจ้านคร) ได้จัดคนมาเป็นเจ้าเมืองไชยาโดยตั้งเมืองขึ้นที่หมู่บ้านพุมเรียง ต่อมาในปี พ.ศ.2312 พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาตีชุมชุมเจ้านครโดยยกทัพมาทางเรือ มาหยุดพักที่ทะเลพุมเรียงและสามารถยึดนครศรีธรรมราชไว้ได้ ในสมัย ร. 1 พ.ศ.2328 เกิดศึกพระเจ้าปะดุง พม่ายกทัพมารุกรานหัวเมืองทางใต้ เมืองไชยาถูกพม่าเผาเสียหายบ้านเมืองร้างผู้คน จนสงครามสงบผู้คน มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นบริเวณริมคลองบ้านกระแดะหรืออำเภอกาญจณดิษฐ์ในปัจจุบัน ในช่วงสมัย ร. 5 พ.ศ.2439 มีการเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นระบบเทศาภิบาล เมืองไชยาได้ขึ้นอยู่กับมณฑลชุมพร โดยรวมทั้งเมืองกาญจนดิษฐ์ เมืองหลังสวนและชุมพร มีพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง ต้นตระกูล ณ ระนอง ) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2442 โปรดให้รวมเมืองไชยา กาญจนดิษฐ์เข้าเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่าเมืองไชยา เป็นเมืองไชยาที่บ้านดอน ในสมัย ร. 6 ราวพ.ศ.2458 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา (บ้านดอน)เป็นเมืองสุราษฎร์ธานี เปลี่ยนจากชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎร์ ในปี พ.ศ.2459 ส่วนเมืองไชยาเก่าให้เปลี่ยนเรียกว่าอำเภอพุมเรียง และเปลี่ยนจากชื่ออำเภอพุมเรียงกลับมาเป็นอำเภอไชยาในปี พ.ศ.2480 ต่อมา เมื่อ พ.ศ.2469 สมัยรัชกาลที่ 7 ได้ยุบมณฑลสุราษฎร์ให้ขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบบเทศาภิบาลจึงถูกยกเลิก รัฐบาลจึงใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชอาณาจักรสยามใน ปี. พ.ศ.2476 สุราษฎร์ธานีจึงมีฐานะเป็นจังหวัด
ปัจจุบันเมืองไชยา เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทางภาคใต้ของประเทศไทย
ตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
จดหมายเหตุราชวงศ์ซุ่ง กล่าวถึงเมืองการะฮี ว่าตั้งอยู่ทางภาคใต้ของกัมพูชาและเป็นเมืองขึ้นของศรีวิชัย (ผาสุข อินทราวุธ, 2554, ไม่ปรากฏเลขหน้า)
นิทานพื้นบ้าน เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “พ่อตาพัดหมัน” กล่าวว่า ปะหมอกับปะมัน สองคนพี่น้องเป็นชาวอินเดีย ใช้เรือเดินใบมาจนถึงเมืองไชยา ขึ้นบกด้วยข้าทาสบริวารที่บ้านนาค่ายตรงวัดหน้าเมืองในตำบลเลม็ด ปะหมอเป็นนายช่างมีความรู้ด้านวิศวกรรมก่อสร้างถูกตัดมือตัดตีนเมื่อสร้างพระบรมธาตุเสร็จ และทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงตาย ที่ปะหมอถูกตัดมือตัดตีนเนื่องจากเจ้าเมืองไม่อยากให้ปะหมอไปสร้างโบราณสถานแห่งอื่นอีก เมื่อปะหมอตายแล้ว จึงได้คิดหล่อรูปพระอวโลติเกวรไว้เป็นเครื่องหมายแทนตัว ส่วนปะหมันได้ครองอยู่เกาะพัดหมันและตั้งรกรากอยู่กระทั้งเสียชีวิต สถานที่ปะหมันไปอาศัยอยู่นันเป็นพื้นที่ดอนน้ำไม่ท่วม มีนาล้อมรอบ เนือที่ 1 ไร่เศษ สมัยก่อนมีความศักสิทธิ์มาก ชาวบ้านเคารพนับถือ คณะมโนราห์เดินทางผ่านต้องรำถวาย
บางตำนานก็กล่าวว่าชาวอินเดียที่มาไชยาในครั้งนั้นมี 4 คนพี่น้อง คือ ปะหมอ ปะหมัน ปะเว ปะหุม โดยปะหมอเป็นช่างฝีมือดีเป็นลูกของศรีวิชัย เมือสร้างพระบรมธาตุเสร็จ ถูกตัดมือตัดตีนและทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงตาย สิ่งก่อสร้างที่ปะหมอสร้างอีกได้แก่ วัดแก้วและวัดหลง วัดแก้วมีลายแทงและปริศนาว่า “วัดแก้วศรีธรรมโศกราชสร้างแล้ว ขุดแล้วเรืองรอง สี่เท้าพระบาท เหยียบปากพะเนียงทอง ผู้ใดคิดต้อง กินไม่รู้สิ้นเอย”
สถานที่อยู่อาศัยของปะหมอนั้น สันนิษฐานว่าคือบริเวณต้นสำโรงใหญ่ข้างวัดเวียง บริเวณที่ตั้งศาลปะหมอ ถือเป็นสถานที่ศักสิทธิ์จนถึงปัจจุบัน (ประทุม ชุมเพ็งพันธ์, 2519,20 -21)
จารึกที่เกี่ยวข้อง :
1. จารึกหลักที่ 24 (สฎ.24)
สถานที่พบ : วางนอนอยู่บริเวณศาลปะหมอไปทางทิศเหนือราว 3 ศอก
อายุสมัย : พุทธศักราช 1773 ?
ภาษา : จารึกอักษรขอม ภาษาสันสกฤต มี 2 ด้าน ด้านแรก 16 บรรทัด
วัสดุที่ทำ : สลักบนหินชนวนรูปใบเสมา ขนาดกว้าง 47 เซนติเมตร สูง 181 เซนติเมตร หนา 14 เซนติเมตร
คำแปล : มี 2 สำนวน
สำนวนแรกแปลโดย ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดย์ ความว่า
สวติ
พระเจ้าผู้ครองเมืองตามพรลิงค์ ทรงประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่พระพุทธศาสนา พระองค์สืบตระกูลจากตระกูลอันรุ่งเรืองคือ ปทุมวงศ์ มีรูปร่างเหมือนพระกามะ อันมีรูปงามราวพระจันทร์ ทรงฉลาดในศาสตร์คล้ายพระธรรมโศกราชเป็นหัวหน้าของตระกูล.... ทรงพระนามศรีธรรมราช
ศรีสวสติ
พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตามพรลิงค์ เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงศ์ พระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์อำนาจ....ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลซึ่งพระองค์ได้กระทำต่อมนุษย์ทั้งปวง ทรงเดชาภาพเท่าพระอาทิตย์ พระจันทร์และมีเกียรติอันเลื่องลือในโลกทั้งปวง ทรงพระนามว่าพระเจ้าจันทรภานุ ศรีธรรมราช เมื่อกลียุค 4332......... (พุทธศักราช 1773) (ศิลปากร,กรม, 2529 เล่ม 4,146)
สำนวนที่สอง แปลโดย ศาสตราจารย์แสง มนวิทูร
สวัสดี พระผู้เป็นใหญ่ในตามพรลิงค์ ทรงประทานความดีงามอันเลิศเหมือนพระอินทร์ ทรงพระราชสมภพเพื่อประชาชนที่ถูกชนชาติต่ำปกครองมาแล้วให้สว่างรุ่งเรือง จริงอยู่พระองค์เป็นธรรมราชเหมือนพระจันทร์ พระอาทิตย์และกามเทพ อย่างพร้อมบูรณ์ ทรงพระปรีชา ฉลาดในราชนิติเที่ยบเท่าพระเจ้าธรรมโศก ทรงเป็นใหญ่เหนือราชวงศ์ทั้งหมด
สวัสดี พระองค์เข็มแข็ง เป็นใหญ่ในตามพรลิงค์ ทรงปกครองปัทมวงศ์จนถึงถูกขนานพระนามว่า ภีมเสน ได้ทรงเสด็จอุบัติมาเพราะอานุภาพแห่งบุญกุศลของมนุษย์ทั้งหลาย (เป็นบุญของมนุษย์ที่ได้พระราชาองค์นี้)
พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระเกียรติแผ่ไปทั่วโลก เพียงดั่งอานุภาพของพระจันทร์และพระอาทิตย์จึงทรงพระนามาภิไธยราชฐานันดรว่า จันทรภาณุ เป็นธรรมราชาผู้ทรงศิริ
ขออำนวยพร อันเป็นอมตะด้วยความภักดี ซึ่งเหมือนสลักไว้ในแผ่นหิน เมื่อปีกลียุคล่วงแล้วได้ 4332 (ประเสริฐ ณ นคร, 2521,450 – 451)
2. จารึกหลักที่ 24 (ก) หรือ สฏ. 3
สถานที่พบ : ปักบริเวณใกล้กำแพงเมือง
อายุสมัย : กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18
ภาษา : จารึกอักษรขอม ภาษาบาลี มี 1 ด้าน 15 บรรทัด
วัสดุที่ทำ : สลักบนหินชนวน รูปสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 31 เซนติเมตร สูง 70 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร
คำแปล : แปลโดย นายชะเอม แก้วคล้าย
....อีกอย่างหนึ่ง...(ชน) เหล่านั้นผู้มีเครื่องประดับ...(ชน)ทั้งสิบยังวิชา(ให้เกิด)ด้วยเจตนาอันเป็นที่รักต่อพระชินะผู้ประเสริฐในกาลทั้งปวง...ส่วนทั้งห้าเป็นความรู้ของพระผู้เป็นที่รัก ผู้มาสู่สังกัสสนคร....โดยประการทั้งปวง ...ชนทั้งเก้าเหล่านั้นเป็นผู้มีปัญญามีความปราถนาตามวาระ...ทั้งแปด ทั้งสิบเป็นผู้มีศรัทธาตามที่ตนคิดไว้แล้ว...บางครั้ง...ทั้งสิบและทั้งแปด...อีกอย่างหนึ่ง(ชน)ทั้งหลายผู้ชุมนุมกันทั้งห้าสิบห้าคน เป็นผู้เปล่งวาจาแล้ว ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ดุจพระผู้บริสุทธิ์ที่หาความเศร้าหมองมิได้....วัตถุทั้งสิบพร้อมภัณฑ์ต่างๆที่มิได้กำหนดเป็นวัตถุจำนวนมากเพื่อทาน...ผู้มีบุญแม้ทำทานทั้งปวงด้วยความเอื้อเฟื้อ ย่อมกล่าวถึงความน่าเคารพของพระศาสดาผู้เป็นธรรมราชา...คณะเหล่านั้น...ผู้คล้อยตามบริษัทได้สดับข่าวพระนาถแล้ว....(ศิลปากร,กรม,2529 เล่ม 4 , 149)
3. จารึกหลักที่ 25 จารึกบนฐานพระพุทธรูปนาคปรก(สำริด)ปางมารวิชัย
สถานที่พบ : พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา
อายุสมัย : ระบุศักราช พ.ศ.1726
ภาษา : จารึกเป็นภาษาเขมร
วัสดุที่ทำ : จารึกบนฐานพระพุทธรูปนาคปรก(สำริด)ปางมารวิชัย
คำแปล :
“.....ศักราช 1105 เถาะนักษัตร มีพระราชโองการ กัมรเดงอัญมหาราช ศรีมัตไตรโลกยราช เมาลิภูษนวรรมเทวะ ขึ้น 3 ค่ำ เชฏฐมาส (เดือน 7) วันพุทะ ให้มหาเสนาบดีคลาไนผู้รักษาเมืองครหิ อาราธนา มรเตง ศรีญาโน ให้ทำ (พระพุทธรูป) ปฎิมากรนี้สำริดมีน้ำหนัก 1 ภาระ 2 ตุละ ทองคำ (ที่ปิด) มีราคา 10 ตำลึง สถาปนา (พระพุทธรูปนี้) ให้มหาปวงชนผู้ที่มีศรัทธาอนุโมทนาแลบูชานมัสการอยู่ที่นี่ เพื่อจะได้ถึงสรรเพ็ชญาณ...” (ศิลปากร,กรม, 2529 เล่ม 4 ,120)
กรมศิลปากร.(2522) การขุดแต่งโบราณสถานวัดแก้ว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ 14 กองโบราณคดี กรมศิลปากร
กรมศิลปากร. (2524). การขุดแต่งโบราณสถานวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ 14 กองโบราณคดี กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร (2525). โครงการขุดแต่งและบูรณะวัดหลง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ 14 กองโบราณคดี กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2526). รายงานการปฎิบัติงานโครงการขุดแต่งและบูรณะวัดหลง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปีงบประมาณ 2526. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ 14 กองโบราณคดี กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2527). รายงานการปฎิบัติงานโครงการขุดแต่งและบูรณะวัดหลง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปีงบประมาณ 2527. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ 14 กองโบราณคดี กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2529). จารึกในประเทศไทยเล่มที่ 4 . กรุงเทพฯ : กองหอสมุดแห่งชาติ.
เขมชาติ เทพไชย.(2523, กรกฎาคม). “การสำรวจขุดค้นวัดแก้ว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ศิลปากร, 24 (3), 13 -23
เขมชาติ เทพไชยและภุชชงค์ จันทวิช. (2525, พฤษภาคม). “หลักฐานใหม่เกี่ยวกับการเดินเรือสมัยศรีวิชัยที่แหลมโพธิ์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎรธานี” ศิลปากร, 26 (2), 29 - 46
เขมชาติ เทพไชย.(2525). “The Excavation at Leam pho; A Srivijaya entrepot” ใน SPAFA : Final report Consultative Workshop on Archaeology and Environmental Studies on Srivijaya (T.W.3). Bangkok : Southeast Asian Ministers of Education Organization.
เขมชาติ เทพไชย (2525). การสำรวจขุดค้นและศึกษาทางด้านโบราณคดีเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องศรีวิชัย. ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎรธานี วันที่ 25-30 มิถุนายน พ.ศ. 2525. กรุงเทพ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร
เขมชาติ เทพไชย แปล. Shoji Ito เขียน. (2527, พฤศจิกายน). “ข้อสังเกตทางด้านประติมานวิทยาของพระโพธิสัตว์ที่พบที่ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี Remarks on the Iconography of Bodhisattava Images found in Chaiya, Southern Thailand” ศิลปากร . 28 (5), 48 -55
โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) กองโบราณคดี กรมศิลปากร. (2526).รายงานการสำรวจขุดค้นทางด้านโบราณคดี บริเวณแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพ : กรมศิลปากร.
จันทร์จิรายุ รัชนี.(2527, สิงหาคม). “มารู้เรื่องศรีวิชัยกันเสียที เรื่องอาณาจักรศรีวิชัย” ศิลปวัฒนธรรม. 5 (10), 62 – 73
จันทร์จิรายุ รัชนี.(2529,พฤศจิกายน). “ศรีวิชัยที่ไชยา” ศิลปวัฒนธรรม. 8 (1) , 86-95
ชาคริต สัมธิ์ฤทธิ์.(2544, มีนาคม – เมษายน). “การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี” ศิลปากร . 54(2), 28-47
เด่นดาว ศิลปานนท์. (2544, มกราคม – กุมภาพันธ์). “ข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปแบบการครองหนังกวางของพระโพธิ์สัตว์อวโลติเกศวรอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี”. ศิลปากร. 47 (1) , 62 -73
ธราพงศ์ ศรีสุชาติ.(2542). “ชุมชนโบราณไชยา” ใน สารานุกรมภาคใต้ เล่มที่ 5. กรุงเทพ : ธนาคารไทยพาณิชย์, หน้า 2195 - 2218
ณัฎฐภัทร นาวิกชีวิน. (2524). “เครื่องถ้วยจีนที่พบจากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย” วิทยานิพนธ์ของปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ณัฎฐภัทร จันทวิช และภุชชงค์ จันทวิช. (2525). ความสัมพันธ์ทางด้านเครื่องถ้วยจีนที่เกี่ยวข้องกับศรีวิชัย.ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎรธานี วันที่ 25-30 มิถุนายน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร
ณัฎฐภัทร จันทวิช และภุชชงค์ จันทวิช. (2526, กุมภาพันธ์). “เครื่องถ้วยจีนจากแหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์และป่ายาง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎรธานี” ศิลปวัฒนธรรม. 4 (4), 74 – 82.
บรรจง วงศ์วิเชียร (2525). “การสำรวจ ขุดแต่ง เพื่อทำหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องศรีวิชัย” ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 25-30 มิถุนายน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร
บรรจบ เทียมทัด.(2526, กรกฎาคม). “ไชยาเคยเป็นราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัย” ศิลปากร. 27 (3), 20 -24
ประเสริฐ ณ นคร. (2521). “จารึกที่พบในภาคใต้” ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎรธานี วันที่ 25-30 มิถุนายน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์.(2513). ไชยา – สุราษฎร์ธานี. กรุงเทพ : กรุงเทพการพิมพ์
ผาสุข อินทราวุธ. (2554) . เอกสารประกอบการเรียนวิชาสัมมนาประวัติศาสตร์ศรีวิชัย สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. เอกสารอักสำเนา ไม่ปรากฏเลขหน้า
เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว.(2555, ตุลาคม – ธันวาคม).รูปแบบและประติมานวิทยาพระพุทธรูปจากวัดแก้วเมืองไชยา.เมืองโบราณ. 38 (4), 138 – 147.
นงคราญ ศรีชาย. (2543). โบราณคดีศรีวิชัย : มุมมองใหม่การศึกษาวิเคราะห์แหล่งโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน. นครศรีธรรมราช : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 11 นครศรีธรรมราช
ล้อม เพ็งแก้ว.(2543, ตุลาคม – ธันวาคม). “วิเคราะห์วันเดือนปีในจารึกฐานพระพุทธรูปจากวัดหัวเวียง ไชยา” เมืองโบราณ. 26 (4), 119 – 122.
อนุวิทย์ เจริญศุภกุล.(2526, กรกฎาคม). “สถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยในคาบสมุทรภาคใต้” ศิลปากร. 27 (3), 17 – 25.
อนุวิทย์ เจริญศุภกุล.(2549, ตุลาคม – ธันวาคม). “การออกแบบศาสนสถานสกุลช่างทวารวดี เขมรและชุมชนภาคใต้ไชยาในประเทศไทย” เมืองโบราณ. 27(4), 21 -40