ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านได้ทำการขุดโบราณสถานนี้ พบพระพิมพ์และวัตถุทางศาสนาในบริเวณโบราณสถานเป็นจำนวนมาก จากหลักฐานที่ปรากฏทั้งรูปแบบโบราณสถานและอิฐจารึกอักษรฝักขาม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21
ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เนื่องจากตั้งอยู่บนที่ดินของนายหลาน จึงเรียกชื่อตามเจ้าของที่ดิน โบราณสถานวัดกู่อ้ายหลาน ประกอบด้วย วิหาร เจดีย์ กำแพงแก้ว และซุ้มโขง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 19 – 21
ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ชื่อมาจากที่โบราณสถานติดกับที่ดินของนายสี โบราณสถานประกอบด้วย เจดีย์ วิหาร แท่นบูชา และแนวกำแพงแก้วทางด้านทิศใต้ของวิหาร น่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ที่มาของชื่อโบราณสถานมาจากเดิมบริเวณโบราณสถานมีลักษณะเป็นเนินที่มีต้นมะเกลือขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่ โบราณสถานประกอบด้วยวิหาร เจดีย์ และกำแพงแก้ว น่าจะสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21–22
ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ บริเวณโบราณสถานแต่เดิมมีต้นริดไม้หรือต้นเพกาขึ้นเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกโบราณสถานแห่งนี้ว่า วัดกู่ริดไม้ โบราณสถานสำคัญคือ วิหาร เจดีย์ ฐานโบาณสถานแปดเหลี่ยม กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 21
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ คำว่า “จ๊อกป๊อก” เป็นภาษาถิ่นเหนือมีความหมายว่า สิ่งก่อสร้างขนาดกลางที่เป็นเนินหรือมียอด โบราณสถานสำคัญคือวิหารและเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน น่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 21 – 22
ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ชื่อโบราณสถานตั้งตามชื่อเจ้าของที่ดิน โบราณสถานประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างและอาคารประเภทต่าง ๆ จำนวน 13 แห่ง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 – 21
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ชื่อวัดมาจากชาวบ้านเรียกต่อ ๆ กันมา เพราะแต่เดิมบริเวณเนินโบราณสถานเคยมีตอต้นมะม่วงขนาดใหญ่ โบราณสถานประกอบด้วยวิหาร แนวกำแพงแก้ว และอาคารในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าจะมีอายุการสร้างอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 – 22
ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เดิมเรียกว่า โบราณสถานใกล้วัดกุมกาม โบราณสถานประกอบด้วยวิหารหน้าเจดีย์ และแนวกำแพงแก้วด้านทิศใต้ และทิศตะวันตก สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โบราณสถานประกอบด้วยวิหารหมายเลข 1 และวิหารหมายเลข 2 โบราณวัตถุสำคัญได้แก่ แผ่นอิฐจารึกอักษรฝักขาม พบบริเวณวิหารหมายเลข 1 กำหนดอายุรูปแบบตัวอักษรในระหว่าง พ.ศ. 2100 – 2158
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ แต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดต้นข่อย เนื่องจากในบริเวณโบราณสถานมีต้นข่อยและกอไผ่ขึ้นหนาแน่น พิจารณาจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมร่วมกับโบราณวัตถุ สันนิษฐานว่าน่าจะมีการใช้งานในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 – 23
ต.หนองหอย อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เดิมชาวบ้านเรียกวัดป่าคา แต่หลังจากชาวบ้านพบว่าในบริเวณวัดมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกโบราณสถานนี้ว่า "วัดบ่อน้ำทิพย์" จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ สามารถกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22
ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สภาพโบราณสถานโดยรวมคงเหลือแต่เพียงส่วนฐานเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถระบุรูปแบบที่ชัดเจนของโบราณสถานได้ แต่จากโบราณวัตถุที่พบคือชิ้นส่วนพระพุทธรูปปูนปั้น และภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาล้านนา กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 22
ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ วัดพันเลาเป็นโบราณสถานร้าง ชื่อของโบราณสถานมีการสันนิษฐานว่า คำว่า “พัน” อาจหมายถึงยศทางทหารหรือขุนนาง และอาจเป็นวัดที่ถูกอุปถัมภ์โดยนายทหารหรือขุนนางที่ชื่อ “เลา”